ปฏิบัติธรรมทำไม
พระอาจารย์อนันต์ อกิญจโน

เราเกิดขึ้นมาแล้ว เรามีการศึกษา เล่าเรียน ทำกิจการงาน เป็นการศึกษาในวิชาชีพ ศึกษาในหน้าที่การงาน ที่เราจะต้องใช้ชีวิตอยู่ ต้องอาศัยปัจจัย ๔ เราถึงจะอยู่ได้ให้ ความสุขพอสมควร นี่เราก็ศึกษากันไปหมดแล้ว แต่เหลือว่าเราจะต้องศึกษาในเรื่องของตัวเอง เรื่องของใจของเรา เรื่องของกายของเรา บางทีเรายังไม่ได้ศึกษาในความเป็นจริง อาจจะรู้ อยู่ว่าคนเรา เกิดขึ้นมาก็แก่ แก่แล้วเจ็บ เจ็บแล้วตาย เป็นธรรมดาอย่างนี้ แต่เมื่อความจริง มาปรากฏกับเรา ความแก่ ความเจ็บ หรือความตาย ที่จะเกิดขึ้นกับเราแล้ว ใจของเราก็ ไม่มีที่จะพึ่งพิง เพราะมนุษย์เกิดขึ้นมานี้ มีความปรารถนา ที่จะมีความสุข หรือปรารถนาได้ ยากยิ่งคือว่า ตายไปแล้ว ก็ขอให้ไปเกิดในสวรรค์ อย่างนี้ มนุษย์ก็อยากไปเกิดในสวรรค์ หลังจากตายไปแล้ว เมื่อมีความปรารถนาอย่างนี้จงมีศรัทธาในศาสนา มีศรัทธาในศาสนา มีความเชื่อมั่นว่า ตายไปแล้ว เราจะขึ้นไปเกิดในสวรรค์ก็ดี หรือจะไปสู่ในที่มีความสุข ตามที่เราตั้งไว้ แต่ว่าในชีวิตประจำวันของเรานี้ เราอาจจะไม่ได้ปฏิบัติในธรรมะ หรือเป็นผู้ที่ไม่มีธรรมะ ความดีในใจ แต่ตั้งจิตปรารถนาอย่างเดียวที่จะไปเกิดในที่ดี ความสมหวังของผู้ที่ตั้งใจนี้สำเร็จได้ยาก เพราะไม่มีใครที่จะช่วยเรา ให้ไปเกิดในที่ ๆ ที่ได้ เพราะสัตว์ทั้งหลายนั้นมีกรรมเป็นของๆตน กรรมเป็นผู้ให้ผล กรรมเป็นแดนเกิด กรรมเป็นผู้ติดตาม กรรมเป็นที่พึ่งอาศัย ทั้งนั้น ถ้าเราอยากจะ ไปเกิดในสถานที่ดี มีความสุข เราก็ต้องประกอบกรรมที่ดี อาศัยความเชื่ออย่างเดียว ยังไปไม่ได้ ต้องอาศัยการกระทำที่ดีในปัจจุบันนี้

มีอยู่ครั้งหนึ่งเหมือนกัน มีชาวเกาหลี ทั้งพระทั้งฆราวาสมากราบหลวงปู่ชาที่วัดก่อนอก ใกล้ๆ กับวัดหนองป่าพง เขาถามว่า มีปัญหาได้ถามครูบาอาจารย์พระเถระมาหลายรูปเหมือนกัน ว่าคนเรา ทำไมถึงต้องปฏิบัติธรรม ปฏิบัติเพื่ออะไร ปฏิบัติทำไม ปฏิบัติแล้วได้ผลอย่างไร ซึ่งหลวงปู่ชาก็ตอบโดยถามกลับไปว่า คนเราทำไมต้องรับประทานอาหารด้วย? รับประทานอาหารนี้เพื่ออะไร? รับประทานไปทำไม? รับประทานเพื่ออะไร? รับประทานแล้วได้ผลอย่างไร? ชาวเกาหลีทั้งพระทั้งฆราวาสก็เข้าใจ เข้าใจชัดแจ้ง มีศรัทธามีความเลื่อมใส อาตมาได้พิจารณาว่า คนเรานี่รับประทานอาหารเพราะว่ากายมีความทุกข์ขึ้นมา เพื่อที่จะระงับความทุกข์ รับประทานแล้ว ได้ผลคือความทุกข์นั้นหมดไป

ความจริงอันประเสริฐ บางครั้งมีความรู้สึกเศร้าใจเสียใจเพราะว่าปัญหาที่พบในชีวิตประจําวันเกิดมาบ่อยๆ เกิดมาเรื่อยๆ เราควนจะทำท่าที หรือทำจิตใจยังไงจึงจะมีปัญญาในเรื่องนี้ ถึงจะเข้าใจในเรื่องนี้ เราเกิดขึ้นมาในโลก เราจะพบกับความจริง เรียกว่าอริยสัจ ความจริงอันประเสริฐ ในข้อเบื้องต้น ที่พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ทุกข์อริยสัจ ความจริงอันประเสริฐที่ว่า ความทุกข์นั้นเป็นอย่างนี้ ความเศร้าใจ ความคับแค้นใจ ความไม่สบายกายความไม่สบายใจ เป็นต้น เมื่อเราอยู่ในโลก ทำหน้าที่ มีครอบครัว มีสามีภรรยามีบุตร ทำกิจการงานทั้งหลาย พวกเราจะต้องประสบ กับความทุกข์อันนี้ เราต้องกำหนดรู้ว่าทุกข์มันเป็นอย่างไร ทุกข์นี้เป็นอย่างนี้ ควรจะกำหนดรู้ พระพุทธเจ้าสอนให้กำหนดรู้ ว่าทุกข์เป็นอย่างนี้ พระพุทธเจ้ากำหนดรู้ได้แล้ว เราก็พยายาม กำหนดให้รู้จักความทุกข์นี้ก่อน โดยมีขันติ มีความอดทน บางครั้งมันมีมากทุกข์มาก ต้องข่มใจ ของเราไว้ ตั้งใจ เสียสละในความรู้สึกส่วนตัวของเรา เมื่อเรารู้จักมีธรรมะในใจ คือมีความจริงใจ ในการแก้ปัญหานั้น มีความจริงใจในการงาน ต้องอดทน ต้องข่มจิตใจของเรา แล้วถึงพร้อมด้วย ความเสียสละ ปัญหาทั้งหลายแม้ว่ายังจะแก้ปัญหานั้นไม่ได้ในภายนอก แต่ปัญหาทางใจของเรา ได้ถูกอบรมด้วยคุณงามความดี คือขันติ ความอดทน ดังกล่าวมาแล้ว และได้พิจารณาว่า ความทุกข์อันนี้ ถ้าเรายังเกิดขึ้นมาอยู่ เราจะต้องพบต้องประสบกับความทุกข์อันนี้ เพราะมีความเกิดขึ้นมา เมื่อเกิดขึ้นมาก็ต้องมีความแก่เจ็บตาย ความทุกข์ที่เกิดขึ้นทั้งกายและใจ ถ้าเราจะพ้นจากทุกข์นี้ได้ เราต้องมาปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญานี้ ให้จิตของเรามีสติ มีความสงบ แล้วก็พิจารณา ถอดถอนความรู้สึก เป็นตัวเป็นตนออกไปได้ ความทุกข์มันถึงจะน้อยในใจของเรา ในเบื้องต้นถ้าเรายังแก้ไม่ได้ ต้องอดทนข่มใจของเราไว้

ชีวิตนี้จะต้องตาย ไม่ได้อยู่ในโลกนี้ เราจะโลกจะโกรธ จะหลง ไปทําอะไร จะยึดถือไอ้นั่นไอ้นี่ไปทำไม ในเมื่อเราจะต้องตาย แล้วทุกอย่างก็เป็นของโลก

ธรรมะนี้ก็คือธรรมชาติ ปฏิบัติเพื่อให้เห็นธรรมชาติ ความเป็นจริงธรรมชาติที่ล้อมรอบตัวเราก็ดี หมายถึงว่าเป็นธรรมะอยู่แล้ว แต่ว่าเราน่าจะ อยู่ใกล้ แต่ว่าเรามองไม่เห็น ทีนี้ก็เริ่มต้นก็ต้องมีผู้ที่นำทาง ผู้บอก ผู้ชี้บอกให้ อย่าง ในสมัยพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงเทศน์สอนเอาไว้ ในปัจจุบันอยู่ในตำรา แต่เมื่อพวกเรา ปฏิบัติตามคำสอนของท่านไปจะพบกับความจริง ซึ่งความจริงมีอยู่แล้ว พระพุทธเจ้าของเรา มาค้นพบความจริงคือความที่ทุกสิ่ง เกิดขึ้นมาตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป

พระพุทธเจ้าทรงค้นพบก็เป็นพระพุทธเจ้า สอนให้พวกเราเดินตามแนวทางแห่งความ ที่จะทําจิตของเราให้มีความสงบอย่างแท้จริง เพราะว่าสิ่งที่เป็นวัตถุภายนอก หรือความเจริญ ภายนอกอย่างเดียว ทำจิตของเราให้สงบโดยแท้จริงไม่ได้ ก็ต้องดูว่าใจของเราที่มีธรรมะ รู้ธรรมะ ปฏิบัติธรรมะ และเห็นธรรมะ คำว่าธรรมะนี่คือธรรมชาติ ให้เราเรียนรู้จากธรรมชาติ

เรามาวัด ก็เป็นธรรมชาติ อยู่กับธรรมชาติ กับป่าไม้กับภูเขา เมื่อสถานที่ที่เหมาะสม อยู่กับธรรมชาติแล้ว จิตของเรามาเรียนรู้ มาที่วัด จะเข้าถึงในธรรมชาติได้ง่ายขึ้นมา เพราะใจ ที่เราวางมันลงในสิ่งทั้งปวงความคิดทั้งปวงลงไปก่อน มาสร้างความดี และมาสงบใจ และมาเรียนรู้ มาพิจารณาก็จะเข้าใจแจ่มชัดในธรรมชาติ ทั้งภายนอกและภายในใจของเราให้ชัดเจนว่า ทุกสรรพสิ่งเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป

เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป ลมหายใจเข้าออกของเรา หายใจเข้าเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วก็ดับไป เกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วก็ดับไป หล่อเลี้ยงใน ชีวิตของเรา เราบังคับบัญชาในร่างกายนี้ไม่ได้ คือไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาคือ ไม่ใช่ตัวตน ร่างกายเราบังคับไม่ได้ สิ่งใดที่เราบังคับไม่ได้ไม่ใช่เราทั้งนั้น ร่างกายนี้ก็ทำหน้าที่ของเขา เกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วก็ดับไป วัตถุสิ่งของภายนอกก็เหมือนกัน มันมีความเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วก็ดับไป มันจะมีตัวตนที่แท้จริงไม่มี หรือแม้แต่นามในความรู้สึกของเรา เป็นสุขก็ดีเป็นทุกข์ดี ที่ว่าเป็นเรา มีความรู้สึกเกิดขึ้นมาแล้วตั้งอยู่ ก็ดับไปทั้งนั้นเลย เราสังเกตสติตามดูความรู้สึกของเรา มีความสุข มีความทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ก็เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป เราก็จะได้เห็นธรรมะ โอ! มันมีลักษณะอย่างนี้ เมื่อได้อะไรมาแล้ว เราถูกใจ เราดีใจ ก็มีสติไว้ว่ามันไม่เที่ยง มันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ไม่ใช่ของที่จะอยู่ตลอดไป เป็นทุกข์ใจก็ดี เราก็พิจารณามันไม่เที่ยง แต่ในชีวิตประจำวันเราก็จะประสบกับความรู้สึก เป็นสุขเป็นทุกข์ คือร่างกายนี้ เราก็ประสบอยู่แล้วมันเปลี่ยนแปลงไป ตลอดจนสิ่งที่รอบตัวเราก็เหมือนกัน เมื่อเรามีสติรู้เท่าทันอย่างนี้ เมื่อมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเราก็จะได้ไม่ทุกข์

หลวงพ่อชาท่านก็สอนว่ากรรมฐานข้อใดที่เราชอบ นึกน้อมมาแล้ว จิตใจเกิดความสลดสังเวชหรือเกิดความสงบระงับได้ง่าย เกิดปีติ เกิดความสุขท่าจิตให้เกิดความสงบได้ง่าย ให้เราพยายามนึกถึง กรรมฐานบทนั้น นำกรรมฐานบทนั้นมาบริกรรมภาวนาอยู่เสมอ

ตัวอย่างจากแก้ว มีแก้วใบหนึ่ง ท่านก็พิจารณาว่าแก้วใบนี้มันแตก คือให้เห็นเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาว่ามันต้องแตก ไม่เที่ยง วันหนึ่งแก้วใบนี้มันแตกออกไป ความจริงปรากฏขึ้น ใจก็สบายเพราะว่ารู้ชัดอยู่แล้ว ว่าแก้วใบนี้ไม่เที่ยง กับอีกคนหนึ่งใช้แก้ว แต่ว่าด้วยความยึดถือ ถ้าแก้วใบนี้มันแตกออกไป ก็เกิดความทุกข์ขึ้นมา การที่รู้ความจริงหรือว่ามีปัญญาคือ รู้ตามธรรมชาติของความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ก็ใช้วัตถุสิ่งของนั้นไปตามสมควร รู้เท่าทันในความจริง ยิ่งชีวิตของคนเรานี้เหมือนกัน เกิดขึ้นมาเราเรียนรู้ให้เข้าใจความเป็นจริงของความเปลี่ยนแปลง ของสังขารร่างกาย เมื่อมันมีโรคภัยไข้เจ็บ เมื่อมันเปลี่ยนแปลงไป เรารู้เท่าทัน เราก็สบาย ชีวิตร่างกายเป็นสิ่งต้องแตกสลายไปเป็นธรรมดาอย่างนี้

หลวงพ่อชาท่านก็เทศน์บ่อย ท่านบอกว่าไม่ต้องอะไรหรอก เราจะทํา อย่างไรให้คนเข้ามาในศาลาได้ อุบายวิธีที่จะให้คนเข้ามาในศาลาได้ เมื่อคนเข้ามาในศาลา เขาจะรู้เองว่าศาลานี้มีอะไรบ้าง จะทำอย่างไร ให้จิตของเรานี้ เข้ามาดูกายได้ เมื่อดูกายนี้แล้ว จะเห็นเองว่ากายนี้ มีอะไรบ้าง ข้างนอกมีอย่างไร ข้างในมีอย่างไร

เรียนรู้จากทุกข์ คนเราเกิดขึ้นมาเป็นไปตามกรรม เกิดขึ้นมาบางคนอาจจะสมบูรณ์บริบูรณ์พร้อมทุกอย่าง แต่เมื่อความพร้อมนั้นไม่ได้มีสติปัญญาพิจารณาไว้ เมื่อความพลัดพรากเกิดขึ้นมา ทำให้เป็นทุกข์มาก เหมือนกัน หรือว่าเมื่อเรานั้นมีทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว แต่วันหนึ่งเราต้องแยกหรือว่าแตกกันไป ทุกข์นี้ มันทุกข์เพราะความคิดเห็นของเรา ที่ไม่ยอมรับนับถือกฎของธรรมชาติ คือความเป็นจริงว่า เมื่อมีความเกิดขึ้นมาแล้ว ตั้งอยู่ ตั้งอยู่แล้วก็ต้องแตกสลายไปเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงสอนให้เราได้พิจารณา พิจารณาในทุกข์อริยสัจ

ซึ่งในสมัยพุทธกาลมีมาแล้วว่า ลูกสาวของเศรษฐีไปแต่งงาน แต่งงานไปแล้ว มีลูก ต่อมาลูกเสียชีวิต ทั้งสามคนไปเลย สามีก็ตายอีก มีความทุกข์มากเลย นางมาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า นางอุ้มลูกมาด้วย ต้องการที่จะไปหาคนที่จะมารักษาลูกตัวเองให้ฟื้นคืนชีวิตมาได้ ได้ยินว่าพระพุทธเจ้าพระศาสดาเก่ง สามารถชุบชีวิตคนได้จึงไปเฝ้าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็บอกให้นางนั้นไปตามบ้านต่างๆ ที่มีอายุเป็นร้อยปี ไปเอาเมล็ดพันธุ์ผักกาดมาจากบ้านที่ไม่เคยมีคนตาย พระองค์จะทำยาให้ เมื่อนางได้ ไปตามบ้านนั้น บ้านร้อยปีมีแต่คนตายทั้งนั้นเลย หาเมล็ดพันธุ์ผักกาดไม่ได้ จึงได้สติขึ้นมาทีละน้อย ว่าความพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น จะต้องมีจะต้องเกิดขึ้นมา พระพุทธเจ้าเทศน์สอน นางจึงเห็นความเป็นจริงของชีวิต ว่ามันเป็นของไม่เที่ยงจริงๆ เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา นี่คือพระธรรม คำสอนที่จะช่วยแก้ไขเปลี่ยนความเห็นในจิตใจ

ถ้าจิตของเรามันไปฝังอยู่กับอดีตที่ผ่านมาแล้ว มันจะมีแต่ความซึมเศร้าในอารมณ์ที่เราเคยเป็น เคยมีความรู้สึกมา แต่ถ้าเราตั้งสติอยู่ในปัจจุบันนี้ว่า เราเป็นผู้ที่โชคดีมากแล้ว ที่เกิดมาเป็นมนุษย์ และเราก็มีศีลธรรม อุปสรรคทั้งหลายที่เรามีนั้น เราจะได้เรียนรู้ความเป็นจริงว่า มันเป็นทุกข์อริยสัจ เกิดขึ้นเพราะความเห็นของเราไม่ถูกต้อง เราจึงเป็นทุกข์ ถ้าเกิดว่าเรามาพิจารณาว่า เราก็เป็นคนดี มีศีลธรรม เมื่อคนอื่นเขาไม่ได้อยู่กับเรา แสดงว่าไม่มีวาสนาต่อกัน เราพยายามประกอบอาชีพ ของเราไป ถึงแม้ว่าทรัพย์อะไรมันจะน้อย แต่ให้เราพออยู่ได้ในโลก สิ่งสําคัญคือจิตใจของเรา ต้องฝักใฝ่ในธรรมะ โดยนั่งสมาธิ โดยการทำจิตให้นิ่งสงบอยู่ในปัจจุบัน พิจารณาความไม่เที่ยง จะแก้ความทุกข์ในใจของเราได้

วิปัสสนาเราจะมาเห็นชัดตรงเมื่อจิตสงบแล้วกลับมาพิจารณาอีก ครั้งหนึ่งด้วยความสงบนั้น ตรงนี้ไม่มีความคิดแล้วนะเพียงแต่เอา ความสงบนั้นมาดู มากำหนดรู้ มาดูในกาย มาดูในเวทนา พิจารณา ในจิตในธรรมเกิดความรู้ขึ้นมาเลย เกิดความรู้ขึ้นมาว่ากายนี้ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา จิตไม่เที่ยงเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เวทนา เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ธรรมทั้งหลายที่เกิดขึ้นก็เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาแสดงขึ้นมา นี่เป็นวิปัสสนาเกิดขึ้นตรงนี้

ชีวิตที่เหลืออยู่ ในชีวิตของคนเราตั้งแต่เกิดขึ้นมา ผ่านวัยแต่ละปี แต่ละเดือน แต่ละวัน ก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเรามีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน มองไป แล้วย้อนไปในอดีตที่ผ่านมาแล้ว วันหนึ่ง เดือนหนึ่ง ปีหนึ่ง รู้สึกเร็วมาก ในชีวิตนี้ถือว่าไม่นาน ท่านเปรียบว่า "เหมือนน้ำค้าง ที่อยู่บนยอดของหญ้า เมื่อต้องแสงพระอาทิตย์แล้ว ก็เหือดแห้งไป" หรือ "ฟองคลื่นที่อยู่ในทะเลมหาสมุทรเมื่อเกิดขึ้นแล้ว ก็แตกสลายไป" เรียกว่า ชีวิตนี้เกิดขึ้นมาแล้วก็แก่ แก่แล้วก็เจ็บ เจ็บแล้วก็ตาย ไม่นาน วันคืนล่วงไปล่วงไป บัดนี้เราทำอะไรอยู่ พระพุทธเจ้าก็จะสอน หรือจะเตือนว่า ไม่ให้เราประมาท ไม่ให้ประมาทในวัย ว่าเรายังอยู่ในวัยที่เป็นเด็กเป็นหนุ่มเป็นสาวอยู่ ไม่แน่นอน ชีวิตนี้อาจจะตายไปก่อนก็ได้ ไม่ถึงวัยชรา หรือไม่ประมาทว่าเรามีกำลังแข็งแรง ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ

เมื่อเราเกิดขึ้นมา เราจะได้ทบทวนว่าชีวิตของเรา ในวันคล้ายวันเกิด กี่ปีแล้ว แล้วเราจะอยู่ ในโลกนี้ได้อีกกี่ปี ถ้าชีวิตของคนเรามีอายุแปดสิบปี ตอนนี้เราอายุเท่าไรแล้ว จะเหลือเท่าไร ชีวิตที่เหลืออยู่นี้ เราจะทำอะไร เราจะต้องตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ถ้าเราประมาทมัวเมาไป ก็เหมือนกับคนที่ตายแล้ว แม้จะมีลมหายใจอยู่ก็ตาม แต่ถ้าเรามาระลึกถึงว่า เรามีอายุยืนยาว มาถึงทุกวันนี้ได้เพราะบุญกุศล ชีวิตที่เหลืออยู่นี้เราพยายามสร้างความดี ยิ่งในวันคล้ายวันเกิด เราจะสร้างความดีให้แก่จิตใจของเราเอง ให้มีคุณธรรมสูงขึ้นไป เพราะการที่เรามาเกิด เพื่อ จะยกคุณภาพของใจของเราให้สูงขึ้น แต่ถ้าเราเกิดมาแล้วเป็นแต่ว่า ทำตามความโลภโกรธหลง ไปแล้วคุณภาพของจิตมันก็จะด้อยลงไป จะมืดมิดปิดบังไปเรื่อยเพราะกิเลส อวิชชา ตัณหา อุปาทานนั้นเอง แต่ว่าถ้าเรานั้นมีการเกิดขึ้นมาแล้ว ก็จะสร้างความดีต่อไปเรื่อยๆ เพิ่มพูนบารมีขึ้นไป ทำทานเป็นประจำ รักษาศีลเป็นปกติ มีการสวดมนต์ภาวนา เจริญสติอยู่อย่างสม่ำเสมอ จนจิตของเรา มีความสะอาด สว่าง สงบ ขึ้นมาในใจ เป็นพุทธะขึ้นมาในใจ