ความสุขที่แท้จริง ความสุขที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร ถ้าเรากำหนดจิตของเราให้สงบนิ่งเป็นสมาธิ จะพบว่าความรู้สึกปีติ จะบังเกิดขึ้นมา ความรู้สึกความสุข จะเกิดขึ้นมาในจิต อันนี้เพียงแต่ว่าเราระงับความโลภโกรธหลงได้ แต่ยังไม่ได้ทำลายกิเลสเลย ความโลภโกรธหลงยังมีอยู่ แต่เราสามารถรวมจิตของเราให้เกิดความสงบได้ โดยการเจริญอานาปานสติกรรมฐาน ถ้าเรารวบรวมความรู้สึกของเรามาอยู่ที่จุดใดจุดหนึ่งในกาย เช่นลมหายใจ เป็นต้น จิตจะมีความสงบ แต่ความสงบนี้ยังเป็นความสงบของจิต ยังไม่ได้สงบจากกิเลส แต่เมื่อเรามาพิจารณา สิ่งที่เป็นเหตุให้เราเกิดความทุกข์ คือความยึดมั่นถือมั่น อุปาทานขันธ์ทั้งห้า เป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ เมื่อเรามาพิจารณา แล้วถอนอุปาทานขันธ์ทั้งห้าได้มากน้อยเท่าไหร่ ความสุขนั้นจะเข้ามาแทนที่ ในปัจจุบันที่เราเห็นว่ามีความสุขนั้น พระพุทธเจ้าตรัสว่าอันนี้ เป็นทุกข์ที่น้อยลงไป เมื่อความทุกข์นี้น้อยลงไปเรื่อยๆ เราจะพบกับความสุขที่แท้จริง

ความสุขปัจจุบัน ความสุขของฆราวาสนั้น ก็เป็นความสุขจากการมีทรัพย์ การได้ใช้จ่ายทรัพย์ในสิ่งที่เราชอบใจพอใจ มีความสุขเกิดขึ้นมา มีลาภ มียศ สรรเสริญ มีความสุขเกิดขึ้นมา เหล่านี้เป็นความสุขเหมือนกัน แต่ท่านเรียกว่า โลกียสุข เป็นสุขที่อาศัยเหตุ อาศัยปัจจัยนั้นเป็นอยู่ ยังไม่เป็นของที่เที่ยงแท้ แน่นอน ยังอยู่ในกฎของไตรลักษณ์ คืออนิจจัง ทุกขัง อนัตตา และความสุขอันเกิดจากสมาธิ คือจิตสงบ ยังจัดอยู่สิ่งที่เรียกว่าสังขารอยู่ เป็นสังขารฝ่ายบุญ ยังเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาอยู่ แต่เมื่อมาประพฤติปฏิบัติจนจิตละวางได้ ละวางได้มากเท่าไหร่ ปล่อยวางได้มากเท่าไหร่ ในความรู้สึก ที่เป็นตัวเรา อันนั้นจะเป็นความสุขที่แท้จริง ซึ่งเราสามารถทำได้ อย่างพวกเรานี้ ถ้าเราคิดว่าเราเรียนเพื่อแสวงหา ทางโลกอย่างเดียว ก็ได้ความสุขที่เรียกว่า โลกียสุข แต่ถ้าเราตั้งเจตนาว่า ความรู้อันนี้ เราเรียนเพื่อช่วยเหลือชาวโลกด้วย ให้เขาพบกับความทุกข์ที่น้อยลงไป อันนี้เป็นเจตนาที่ดีแล้ว เจตนาอันนี้เป็นเจตนาฝ่ายบุญ ทำให้เราละความโลภโกรธหลงไปได้ในระดับหนึ่ง จิตใจจะเกิดความเบาและความสบาย อันนี้เป็นหนทางเดินที่จะพบกับความสุขที่แท้จริง

ความสุขทางโลกที่ไม่ยั่งยืน การที่แสวงหาแต่ว่าเป็นวัตถุ วัตถุนิยม เป็นความรู้สึกที่เป็นสุข สุขใจแต่ว่าอยู่ไม่นาน เมื่อความรู้สึกเป็นสุขมันหมดไป และต้องแสวงหามากขึ้นเรื่อยๆ มันก็ไม่จบลง แล้วเกิดความยึดถือ เกิดความหวงแหน เกิดความทุกข์ขึ้นมาภายหลังด้วย สุขนั้นก็เป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ขึ้นมาอีก เพราะฉะนั้นในหลักพุทธศาสนา จึงสอนให้เกิดความพอดี รู้จักว่าพอดี ให้รู้จักว่าแก่นของ ความสุขที่แท้จริงนั้น ต้องเป็นใจทีมีธรรมะ รู้ตามความเป็นจริง เลยสอนว่าเมื่อมีสิ่งที่ได้มา ก็ต้องมีสิ่งที่เสียไป แต่ว่าโลกธรรม มีลาภก็เสื่อมลาภ มียศก็เสื่อมยศ สรรเสริญสุข นินทาทุกข์ เป็นของคู่กันอย่างนี้ ในหลักพุทธศาสนานี้ สอนคนถึงแก่นอย่างนี้ แต่คนส่วนมากยัง เข้าไปไม่ถึง จึงเริ่มสอนตั้งแต่เบื้องต้น คือการให้ทาน การเสียสละเพื่อลดความเห็นแก่ตัว ที่จะต้องการวัตถุหรือเงินทองเป็นของเราคนเดียว แล้วก็สอนให้มีศีล ในเมื่อมีศีลแล้วก็เกิดความสงบ ในอีกระดับหนึ่ง สอนให้ปฏิบัติธรรมะ มีสมาธิ จะมีความสุขขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง ให้พิจารณา รู้ความเป็นจริง ก็จะเป็นจุดสูงสุดของพุทธศาสนา คือความปล่อยวาง

สิ่งที่เราพึ่งพาได้ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะอันสูงสุดในจิตใจของเรา เมื่อเรามีพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะที่พึ่งในใจของเรานี้ อย่างที่เราได้ตั้งใจในส่วนนั้น พระพุทธเจ้า ประสงค์ให้พวกเราปฏิบัติตามคำสอนของท่าน ปฏิบัติตามโดยการให้ทาน สมาทานศีล ฟังธรรม ตามกาลเวลา เจริญซึ่งสมถะ วิปัสสนากรรมฐาน เพื่อให้เรารู้ลึกซึ้งในการปฏิบัติของเราเอง ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ท่านวางหลักเอาไว้ ถ้าเราได้ปฏิบัติตามหลักตามเกณฑ์ ตามคำสอนของท่าน ก็จะเป็นไปเพื่อความสงบของจิตใจ อานิสงส์แห่งทานนั้น ทำให้เกิดความ ชุ่มเย็นเป็นสุข ฉะนั้นการท่าสมาธิ นี้เป็นสิ่งที่สําคัญมาก ต้องพยายามกำหนดจิต ของเราให้มีความสงบให้ได้ ข้ามอารมณ์ให้ได้ ข้ามเวทนาให้ได้ ถ้าเราสามารถข้ามเวทนาได้ จิตอยู่เหนือเวทนาได้ บางครั้งเราจะ เข้าใจ แยกจากเวทนาได้ เราจะเข้าใจ

คุณค่าของคุณงามความดี เราแสวงหาทรัพย์แล้ว ทรัพย์ทำให้เกิดความสุขใจเราได้ระดับหนึ่ง ในความเป็นอยู่ของเรา ต้องอาศัยปัจจัย๔ แต่ว่าใจนี้ก็ต้องมีอาหารของใจเหมือนกัน ต้องมีความดีคือมีธรรมะ ถ้าใจมีความดี ใจก็จะมีความสุข มีความอิ่มใจเกิดจากการทำบุญ ทำทาน สมาทานศีล การช่วยเหลือในกิจการงานของวัดทั้งหลาย เราทำแล้วใจสบาย คิดขึ้นมาก็สบาย พอเราทำไปเรื่อยๆ จะเป็นนิสัยปัจจัย เป็นนิสัยปัจจัยตามส่งจิตของเรา จะถูกพัฒนาเป็นใจที่มีคุณธรรมความดี มีบุญกุศลอยู่เสมอ

คุณงามความดีคือความสงบของใจ หรือปัญญาที่จะรู้ ปัญญาที่จะรู้ ปัญญาที่จะเห็นตามความ เป็นจริง แม้ว่าชีวิตของเรานั้นมีการงานมากมาย มีธุระหน้าที่หลายสิ่งหลายประการ แต่นั่นเป็นหน้าที่ที่เราจะต้องดำรงอยู่ได้ในโลก แต่การงานที่สำคัญ ยิ่งขึ้นไปอีก คือการฝึกจิตใจ ให้ได้รับความรู้สึก ให้มีความสงบปลอดโปร่งโล่งใจ จากสิ่งที่รุมเร้าใจของเราอยู่ สิ่งที่กางกั้นใจของเรา ทำใจของเราให้วุ่นวายอยู่เสมอมานั้น เราต้องมาฝึก เราต้องมาปฏิบัติ พยายามต่อสู้กับ ความรู้สึกของใจของเรา ที่มีอารมณ์จะดึงไปในฝ่ายต่าอยู่เสมอ เพราะนิวรณ์ ๕ ประการนั้น กางกั้นจิต ไม่ให้บรรลุซึ่งคุณงามความดี ความดีในเบื้องต้น คือความดีจากการเสียสละ คือการให้ทาน การสมาทานศีล ศีลห้า ศีลแปด ศีลสิบ ศีลสองร้อยยี่สิบเจ็ด ก็มีศีลตามฐานะของเรา ศีลห้าประการนี้ เป็นคุณสมบัติที่เราปฏิบัติได้ เป็นพระอริยะบุคคลในพระพุทธศาสนา เป็นสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า เราต้องสร้างกรรมที่ดีเอาไว้ในปัจจุบันนี้ให้มากๆ โดยการสวดมนต์ภาวนา ทำจิตของเรา ให้มีความสงบอย่างนี้อยู่สม่ำเสมอ มีการให้ทานสมาทานศีล อย่างนี้แหละ เราพยายามสร้าง คุณงามความดีของเราไว้ เมื่อบุญส่งขึ้นมาเราก็จะมีความสุขความสงบโดยเฉพาะการปฏิบัติ เจริญสมาธิภาวนานี่ก็ต้องฝึก

อาหารใจ ร่างกายก็ต้องอาศัยลมหายใจ อาศัยอาหาร น้ำ เกิดธาตุไฟ เราจึงอยู่ได้ ส่วนจิตใจนั้น ต้องอาศัยอาหารเหมือนกัน ธรรมะ เป็นอาหารของใจ เมื่อรับประทานอาหาร เรายังรับประทาน ทุกวันเลย วันหนึ่งหลายมื้อ ให้ร่างกายอยู่ได้ แล้วใจของเราล่ะ ใจของเราก็ต้องการอาหาร เหมือนกัน อาหารก็คือธรรมะ ธรรมะนั้นเป็นอาหารของใจ ใจถึงจะสงบ ถ้าเอาโลภ โกรธ หลง เป็นอาหารของใจแล้ว ยิ่งวุ่นวายหนักขึ้นไป ใจก็จะมีแต่ความทุกข์ ความเดือดร้อนเท่านั้นเอง ถ้าเกิดใจขาดอาหารคือธรรมะ และก็เป็นใจที่ไม่เบิกบาน ไม่มีความสมดุล ใจที่มี ความเศร้าหมองได้ ฉะนั้นอาหารของใจที่สำคัญคือ ต้องมีธรรมะให้เกิดขึ้นในใจ โดยการปฏิบัติ ในทาน ในศีล ในภาวนา ถ้าเรามีทานเป็นปกติ มีศีลเป็นปกติ เราต้องเริ่มต้นในการภาวนา ทำใจให้ดีขึ้น สูงขึ้น เจริญขึ้น

คำว่าภาวนา เป็นธรรมชาติของใจที่ว่า ถ้าเกิดไม่พัฒนาแล้ว ใจมันจะหมุนไปตามอำนาจ ของกิเลส กรรม วิบาก เมื่อมีกิเลสก็ทำกรรม ทำกรรมแล้ววิบากของกรรมเกิด ก็จะหมุนเป็น กิเลสวัฏฏ กรรมวัฏฏ วิปากวัฏฏไป จะหมุนไปในวัฏฏสงสาร ฉะนั้นเราต้องพยายามมาปฏิบัติ

ศีล ๕ เรามีครอบครัวด้วย ทำกิจการงาน หน้าที่ต่างๆ ด้วยนี้ ยิ่งจำเป็นเลย ที่ต้องมาฝึกจิตของเรา ให้มีความเข้มแข็ง การละความเห็นแก่ตัว โดยการให้ทาน มีความเข้มแข็งในเรื่องของศีลทุกข้อเลย ทั้ง ๕ ข้อนี้ ถ้าจิตของเราฝึกมีความเข้มแข็งทั้ง ๕ ข้อได้ แม้เป็นฆราวาส จิตก็ประเสริฐแล้ว

การทำสมาธิ จะได้บ้างไม่ได้บ้าง สงบบ้าง ไม่สงบบ้าง ก็ไม่เป็นไร แต่ว่ามีศีลที่เข้มแข็งก่อน เป็นพื้นฐานที่มั่นคง ถ้าเกิดว่าศีลนี้ไม่เข้มแข็งแล้ว อะไรที่เราจะต่อเติมไปอีก มันทนอยู่ไม่ได้ เหมือนการสร้างศาลาขึ้นมาหลังหนึ่ง สองชั้น เทเสามันเล็กเกินไป เราจะไปขึ้นมุงคาข้างบน มันก็เกิดความแกว่งตัว เพราะอะไร เพราะฐานมันไม่มั่นคง เสามันเล็กเกินไป เสาเล็กเกินไป ก็จะมีปัญหาเกิดขึ้นมา ถ้าเกิดรากฐานมั่นคง ต่อม่อขึ้นมานี้ มีความมั่นคงมาก เราจะก่อสร้างขึ้นไปสัก ๓ ชั้น ๓ ชั้น ๕ ชั้น ๑๐ ชั้น ๒๐ ชั้น ก็ไม่มีปัญหาอะไร

เพราะฉะนั้น รากฐานของความเป็นมนุษย์ที่จะให้เกิดความมั่นคงในชีวิต คือศีล ๕ ก่อน เมื่อศีล ๕ มั่นคงดีแล้ว การทำบุญ ทำทาน ตามกำลัง มีมากก็ทำมาก มีน้อยก็ทำน้อย ไม่ให้เดือดร้อน แต่ว่าศีลนี้ เราสมาทานเองด้วย แล้วไม่ต้องเสียเงินด้วย ยังจะรักษาทรัพย์สินของเราได้อีกด้วย ทุกวันๆ โลกมันวุ่นวาย ก็เพราะว่าไม่มีศีล ฆ่ากันแกงกันก็ดี ทำผิดศีลธรรมก็ดี หรือว่าข้อสุราเมรัยนี้ ยิ่งสำคัญว่า เมื่อจิตใจมันมัวเมาแล้ว มันยิ่งจะลำบาก ปกติใจคนก็มัวเมาอยู่แล้วในโลกนี้ เพิ่มข้อ สุราเมรัยนี่รักษาไม่ได้ ยิ่งจะเมาไปใหญ่ ก็ยิ่งลำบาก สติยิ่งอ่อน เราก็จะระวังศีลทั้ง ๕ ข้อไม่ได้ เพราะฉะนั้น ศีล ๕ ประการนี้ ทำให้จิตของเรามีความมั่นคงแล้ว มีความมั่นคง เมื่อจิตมีความมั่นคงดีแล้วนี่ เราจะมาสวดมนต์ จะมาเจริญสมาธิภาวนา จะมีความสงบของจิต ได้ดีขึ้นไป ได้ดีขึ้นไป

การให้ทาน เมื่อเรามีทานเป็นปกติ ความตระหนี่ถี่เหนียวนั้นจะถอยห่างออกไปจากจิตใจ จะลดน้อยถอยลงไป เรามีการให้ เสียสละ ใจของเราก็มีความสุข และก็ย่อมเป็นที่รักของคนอื่นด้วย ถ้าคนเราทุกคน เกิดขึ้นมามีแต่ความตระหนี่ถี่หนียวกันแล้ว ไม่มีใครที่จะรักเรา แม้แต่สัตว์เดรัจฉานทั้งหลาย เขาก็ไม่รักเรา แต่ถ้าเรามีการให้ เขาจะรู้สึกว่ารักเราชอบเรา เพราะการให้นี้สำคัญในเบื้องต้น พระพุทธเจ้าจึงสอนให้มีการให้ทาน

เมื่อทำทานแล้ว ก็เห็นว่า การแสวงหาทรัพย์ทั้งหลาย ในโลกที่แสวงหามาได้ ถึงได้มาเราก็จะทำบุญ ทำทาน มีจิตใจเสียสละอยู่เสมอ เพราะพิจารณาถึงความเป็นจริงว่า คนเราเกิดขึ้นมาก็แก่ แก่ก็เจ็บ เจ็บก็ตาย ทุกคนเมื่อตายแล้ว ก็เอาอะไรไปจากโลกนี้ไม่ได้ ทรัพย์ทั้งหลายอยู่ในโลกนี้ ก็ต้องคงเอาไว้ในโลกนี้เหมือนเดิม แม้แต่ร่างกายที่จิตอาศัยอยู่ก็เอาไปไม่ได้ ต้องทิ้งเอาไว้ ในโลกนี้ แล้วทรัพย์อันเป็นวัตถุภายนอกจากร่างกาย จะเอาไปได้อย่างไร เมื่อบุคคลพิจารณา อย่างนี้แล้ว ก็เบื่อหน่ายคลายความยินดีในทรัพย์ทั้งหลาย มีจิตใจมุ่งมั่น ในการสร้างบุญ สร้างกุศลอยู่เสมอ การบริจาคโลหิตก็ดี อวัยวะก็ดี ในหลักพุทธศาสนานี้เรียกว่าเป็นทานบริจาค ที่มีบุญมาก อันนี้เป็นทรัพย์ของเราภายในใจ ในเมื่อเราทำเราเหนื่อย เหนื่อยไปมากๆ เข้า ชีวิตมันเหลือน้อยลงๆ เราก็สร้างทรัพย์เอาไว้ในใจแล้ว ทรัพย์ก็คือความดี ความดีนี้อยู่กับเรา ไม่มีใครที่จะเอาไปได้

ฉะนั้นเมื่อเรามีความรู้ มีความเข้าใจ ในหลักวิทยาการต่างๆ เมื่อเราเอามาท่าเป็นประโยชน์ เอาไว้ต่อโลก ทำประโยชน์เอาไว้ต่อคนอื่นแล้ว จะเกิดประโยชน์ยิ่งใหญ่ขึ้นกับใจของเราหรือ เรามีทรัพย์ เราแบ่งส่วนหนึ่งในการสร้างความดี ก็เกิดประโยชน์มาก ผู้ที่ให้นี้ ย่อมเป็นผู้ที่ได้รับ ความรักกลับมา การให้ทานภายนอก ทานที่ยิ่งใหญ่ขึ้นไปนั่นก็คือการให้อภัยทาน เราอาจจะระลึกถึง คุณของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์แล้ว เราก็ให้อภัย

ความเห็นที่ถูกต้อง ความทุกข์เกิดจากเป็นความคิดของเราที่ไม่ถูกต้อง ทุกข์เพราะคิดผิด คิดผิดไป พูดผิดไป ทำผิดไป พระพุทธเจ้าถึงว่าเริ่มต้นเป็นสัมมาทิฏฐิขึ้นมานี้ คือความเห็น ความเห็นที่ถูกต้อง ก่อนความคิดจะถูกต้อง เมื่อความเห็นถูกต้องแล้ว ความคิดเราไม่เบียดเบียนตนเอง ไม่เบียดเบียนคนอื่น ไม่ได้คิดอยากจะปรารถนาอยากจะได้ของคนอื่นมาเป็นของเรา เมื่อความเห็นเราถูกต้องแล้ว ความคิดถูกต้อง การพูดการทำก็ถูกต้อง มันก็เป็นการปฏิบัติอยู่ในอริยมรรคอยู่แล้ว

พระพุทธเจ้าก็เริ่มต้นว่า สัมมาทิฏฐิคือความเห็นที่ถูกต้องก่อนในเริ่มต้น โลกนี้ที่วุ่นวายกัน เพราะว่าเริ่มต้นความเห็นไม่ถูกต้อง ความเห็นไม่ตรง เป็นความเห็นที่ผิด ถ้าเกิดความเห็นที่ผิด แล้วพูดผิดคิดผิดทำผิดไป ตั้งสติผิด มีความเพียรที่ผิดไป ทำให้สังคมนี้เกิดความวุ่นวาย ขึ้นมาในโลก สัมมาทิฏฐินี้จึงเป็นเบื้องต้นที่สำคัญ เมื่อความเห็นของเรามีความชอบแล้วประกอบ ไปด้วยประโยชน์แล้ว ก็ทำให้เราเหมือนกับเข็มทิศที่จะให้เราเดินทางไปตรงทางได้ ในการไปในทิศต่างๆ อันนี้ก็จะเป็นทางที่เราจะดำเนินให้ความทุกข์น้อยใหญ่ ที่มันเกิดขึ้นในใจ มันลดลงเรื่อยๆ เมื่อความทุกข์น้อยใหญ่มันลดลง หรือความร้อนมันลดลง ความเย็นก็ปรากฏ ความเย็นนี้ เรียกว่า "นิพพานะ" ก็คือความเย็น

เรามีโลภ มีโกรธ มีหลง เราเกิดความร้อนในใจ ถ้าคนมีโลภ โกรธ หลง แล้วก็ไม่มีศีล ก็ยิ่ง มีความร้อนมาก ที่เรียกกันว่านรก แต่ถ้ามนุษย์เรานี้มีความร้อนบ้าง แต่ก็อดทนได้ เหมือน ต้นไม้ใหญ่ๆ มีใบหนา มีร่มมีเงาพอได้บังแดดบังฝน แต่แล้วเมื่อเราอาศัยความที่มีความเห็นที่ถูกต้อง อยู่ในขั้นของศีลธรรมในเบื้องต้น อันนี้แสดงว่าเราเคยสร้างบารมี เคยอบรมบารมี เคยสร้างบุญบารมี มามากพอสมควรเหมือนกัน ถึงจะมีศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา หรือความดีที่เราได้ทำกัน เรียกว่าใจของเรานั้น ก็เป็นใจที่เกิดขึ้นมาเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์