เมตตา การอยู่ร่วมกันในสังคม เราเกิดมาในโลก ที่เกี่ยวข้องกับคน คนมีกิเลส มีโลภมีโกรธมีหลง เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีกฎระเบียบ ก็วุ่นวาย ถ้าทุกคนมีธรรมมะก็สงบ แต่บางคนเรียกว่าทำตามกิเลส เกิดโทสะ เกิดมีตัวมีตน มีพวกเราพวกเขาขึ้นมา ทะเลาะวิวาทก็เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ ของตำรวจ ที่ต้องควบคุมดูแล เราก็พิจารณาว่าเป็นการอยู่รวมกันในสังคม คนหลายจิตหลายใจก็เป็นอย่างนี้ ในใจเราก็ให้มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา แต่ว่าเราก็ทำตามหน้าที่ ถ้าต่างคนต่างละโลภโกรธหลงแล้ว จะอยู่ ในประเทศนี้ก็เบา จะอยู่ในโลกนี้ก็สบาย เพราะคนมีโลภโกรธหลงควบคุมจิตใจ มันถึงเกิดความวุ่นวาย

สติเครื่องสร้างครอบครัว สตินี่สำคัญ เมื่อเรามีสติอยู่ในระดับหนึ่ง จะเห็นโทษ เห็นภัยในวัฏฏสงสาร พากันมุ่งทำทานบารมี มีความเคารพคารวะกัน สามีก็คารวะในภรรยา ภรรยาก็เคารพในสามีอีก อย่างนี้เป็นต้น ถ้ามีครอบครับอยู่ด้วยกันเรียกว่ามีเมตตาธรรมต่อกัน บางที ยังไม่ได้แต่งงานกันก็เอาอกเอาใจกันได้ แต่งงานกันไปแล้ว สามีก็มีหน้าที่หาเลี้ยงครอบครัว ภรรยาอยู่บ้านก็ทำหน้าที่ของภรรยา แต่แล้วภรรยา ก็ทำตัวเป็นเจ้านายของสามีก็มี พอคุมสามีมากเกินไป ใช้อำนาจมากเกินไป ข่มสามีมากเกินไป ก็ไม่ถูกต้อง หรือสามีนั้นนอกใจภรรยา อันนี้ก็ไม่ถูกต้อง ทำร้ายภรรยาทั้งทางใจและทางกายวาจา ก็ไม่ถูกต้อง เมื่อเราอยู่ในครอบครัวก็ต้องเป็นครอบครัวที่เป็นมนุษย์ มนุสโส เป็นมนุสโสคือ มีจิตใจงาม ทั้งสามีทั้งภรรยา มีความเคารพคารวะซึ่งกันและกัน และก็มีธรรมะ ไม่ใช่มีแค่ดุด่าว่า ข่มเหงนํ้าจิตนํ้าใจกันตลอดไป อันนั้นไม่ได้ อันนี้ก็เรียกว่าเรามีสติ อยู่ในระดับที่เราจะมีครอบครัว พระพุทธเจ้าจึงสอนให้มีขันติ มีสัจจะ มีความจริงใจต่อกัน มีขันติต่อกัน เพราะว่าเรามีครอบครัวแล้ว เราก็ต้องมีสัจจะ จริงใจ มีความอดทน ข่มใจ มีความเสียสละต่อกัน อันนี้ก็เรียกว่า เรามีสติอยู่ในชีวิตของครอบครัวมีสติอยู่ในหน้าที่การงาน มีหัวหน้า หัวหน้าว่ากล่าวตักเตือนอะไรบางครั้งก็ถูกบ้าง ผิดบ้าง เราก็ต้องอดทนแล้ว มีขันติ ข่มใจเอาไว้ อย่างนี้เป็นต้น นี่ก็คือสติ ที่เราก็คงจะใช้อยู่ในชีวิตประจำวันของเรา

โลกและการตัดสิน มีผู้สอบถามเกี่ยวกับเรื่องของผู้ที่มักชอบตัดสินผู้อื่น มักจะมองผู้อื่นในแง่ดีบ้างไม่ดีบ้า ตามหลักพุทธศาสนาจะอธิบายอย่างไร? คือในจิตใจของคนเรา เมื่อจิตใจของคนเรามีอุปาทานหรือว่ามีความหลง ก็จะมองลักษณะอย่างนั้น จะเป็นตัดสินใจหรือมองคนอื่นในแง่ดีก็มี ในแง่ไม่ดีก็มี พระพุทธเจ้าสอนให้เราได้พิจารณาแล้วก็ ตัดสินใจของเราเอง ว่าการกระทำของเราดีไหม การกระทำทางกายถูกต้องไหม วาจาถูกต้องไหม ความคิดทางใจของเรานี้ถูกไหม เราก็ต้องดูตัวเราเอง พิจารณาในจิตของเราอันนี้เป็นหลัก บางครั้งเราทำดี คนอื่นเขาว่าไม่ดีก็มี นี่อย่างนี้ ถ้าเกิดว่าเราทำไม่ดี คนอื่นเขาว่าดีก็มี อย่างนี้เป็นต้น คือเราก็ต้องมาดูตัวเราเอง เราจะเป็นคนรู้ในตัวเองมากที่สุดว่าเราทำดีหรือเปล่า คิดดีหรือเปล่า พูดดีหรือเปล่า ให้เราพิจารณาของเราเอง ทุกๆ คนก็ต้องทำอย่างนั้น เมื่อเรามีผู้ที่รู้ เราก็มีผู้ที่มี สติปัญญา เมื่อเราอยู่รวมกันในโลกในครอบครัวในหมู่คณะ ก็อาจจะตักเตือนกันได้ เพราะบางทีสิ่ง ที่เราว่าถูกนั้นอาจจะผิดก็ได้

เพราะฉะนั้นเมื่อเราอยู่รวมกันในสังคมก็ต้องรับฟังความคิดความเห็น ของคนอื่นของผู้ที่มีความรู้ มีสติปัญญาด้วย เหมือนพระสงฆ์รวมกันอยู่ในกลุ่มในคณะ ก็จะปวารณากันไว้ เมื่อมีอะไรก็ให้ ตักเตือนกันได้บอกกันได้ เพื่อความเจริญก้าวหน้าในธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าเมื่อเราอยู่รวมกัน พี่มีน้องมีเพื่อนถ้าเกิดมีใครเค้าว่าเรา เราเป็นผู้มีปัญญาก็เอามา พิจารณา มาพิจารณาแล้ว อันนี้ จะเกิดสิ่งที่เกิดประโยชน์กับเราดี กับเราในการที่เรา จะละชั่ว ทำดี ทำจิตใจให้ผ่องใส อย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้น การคบกัน ก็คบจิตของเราที่ดีที่เป็นกุศล เพราะว่าพระพุทธเจ้าสอนในเบื้องต้นว่าจิตใจ ของคนเรา มีความคิดดีก็มีไม่ดีก็มี ทุกๆ คนก็ต้องระวังในความคิด ที่ไม่ดีนั้นก็พยายามละ สิ่งที่ดี ก็พยายามบ่าเพ็ญ

คุณค่าของมิตร คบกับผู้ที่เป็นบัณฑิต บูชาบุคคลที่ควรบูชา ก็คือพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ บิดา มารดา หรือผู้ที่มีความดี บูชาในความดีของผู้นั้นนั่นเอง พวกเราจะได้มีมงคลของชีวิต ให้รู้จักการ คบค้าสมาคม สอนแนะนำในสิ่งที่ดี เมื่อรู้จักกันเป็นเพื่อนกันเป็นมิตรกัน ก็แนะนำสิ่งที่ดี ให้เกิดประโยชน์แก่เรา ชี้ทางที่ดีให้แก่เรา นี่สำคัญ พระพุทธเจ้าถึงว่า "อเสวนา จ พาลานัง" ไม่คบคนพาล คบบัณฑิต อันนี้ก็เป็นสิ่งที่สำคัญ เมื่อคบบัณฑิตก็ชักน่ามาปฏิบัติ เข้าวัดภาวนาทำบุญ นำพาในใจของเรา ให้ใจของเรามันเป็นคนที่ดี คบกับใจเราที่ดี ใจที่เราไม่ดีเราไม่คบแล้วก็ ชักนำคนที่ไม่ดี ให้เค้ามีความดีด้วย ต้องใช้เวลาหาโอกาส หาโอกาสในเวลาที่เหมาะสมที่สมควร ที่จะแนะนำชักจูง นั่นแหละเราจะเป็นมิตรที่ดีของเขา มีสมัยหนึ่ง สมัยพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อน พระพุทธเจ้าของเราก็ยังไม่เข้าวัดนะ ไม่เข้าวัดแต่เพื่อนสนใจ ก็พยายามที่จะให้พระพุทธเจ้า ของเราเข้าวัด หาเหตุผลยังไงก็ไม่ยอม ก็เลยจับที่มวยผม พระพุทธเจ้าจึงบอกว่า โอ้การที่ จับมวยผมนี้แสดงว่าเป็นสิ่งที่สำคัญ พระพุทธเจ้าของเราจึงเข้าวัดในสมัยนั้น ฟังเทศน์ พระพุทธเจ้าพระองค์ก่อน มีศรัทธาแล้วจึงบวช ส่วนเพื่อนที่ตายไปแล้วก็เกิดไปเป็นท้าวมหาพรหม ที่เราก่อนจะฟังเทศน์ว่า "พรหม มา จะโลกา" นั่นเองนี่แสดงว่าการคบเพื่อนที่ดี จะชักนำไปในสิ่งที่ดี ทีนี้เราก็มีคุณธรรมมีศีลธรรม มีความดี ก็พยายามแนะนำมิตรให้ได้รับประโยชน์จากความดีที่เรารู้จัก

พ่อแม่ที่ดีต่อลูก เป็นธรรมดาว่า เราก็มีความเมตตาอยู่เสมออยู่แล้ว ปรารถนาให้ลูกเราดี ลูกเราทุกข์เราก็มีความกรุณา ช่วยเหลือเค้าให้พ้นจากความทุกข์ เมื่อลูกเราดีใจทำการงานเราก็มีมุทิตาจิตดีใจ แต่เมื่อลูกเรายังไม่ดี อย่างที่เราหวังไว้ หรือว่ายังเป็นตัวของตัวเองไม่ได้ ยังไม่สมบูรณ์ เราก็คิดจะช่วย แต่ว่าตอนนี้ ก็ต้องวางอุเบกขาไว้ คือปล่อยวาง รอจังหวะที่จะช่วยเขาได้รอถึงกาลเวลาจะช่วยเขาได้ เราก็ช่วย สอนเขา พยายามสอน พยายามบอก บางทีเขาก็มีกรรมที่ติดตามเขามาเหมือนกัน จะให้ดีก็ไม่ดี แต่ในบางครั้ง คนที่เราเห็นว่าไม่ดีในปัจจุบันนี้ ต่อไปอาจจะเป็นคนที่มาดูแลพ่อแม่ก็ได้ มาดูแล มาช่วยเหลือพ่อแม่ในยามชราก็มีมากเหมือนกัน ลูกคนที่ดีๆ ก็มีครอบมีครัวแยกย้ายไปหมด ลูกที่ไม่ดี กลับมาดีตอนปลายก็มี เพราะฉะนั้นเราก็ต้องมีเมตตาต่อลูกของเราไว้ ให้เขารู้สึกว่า เราก็เมตตาต่อเขา เขาจะเป็นยังไงเราก็มีเมตตาไว้ ยังสอนไม่ได้ก็วางอุเบกขาจิตเสียก่อน แต่ ขณะเดียวกัน เราก็ต้องพิจารณาว่า ถ้าคงจะเป็นกรรมของลูกเรา เราต้องปล่อยวางให้ใจสบายด้วย ใจไม่เป็นทุกข์ด้วย

ตอบแทนคุณพ่อแม่ พระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้ว่าผู้ที่มีกตัญญูกตเวทิตานี้เป็นมงคลของชีวิต ถ้าคนใดไม่มีกตัญญูแล้วก็ เรียกว่ามงคลของชีวิตนี้ไม่มี แม้ว่าเราจะมีอะไรมากมาย จะมีทรัพย์สิน มีสิ่งของ มียศ ตำแหน่งมากมายก็ตาม แต่ว่าขาดซึ่งความกตัญญูต่อบิดา มารดา ผู้มีพระคุณของเราแล้ว แล้วก็ ไม่ได้ตอบแทนท่าน ถือว่าขาดคุณสมบัติแห่งความดี หรือว่าเครื่องหมายของคนที่มีความดี เพราะว่าบุคคลที่หาได้ยากในโลกนี้ พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า ผู้ที่มีคุณต่อคนอื่นแล้วไม่หวังผล ตอบแทนเรียกว่าบุพการีชน บิดามารดาของเราเป็นบุพการีชนต่อลูก เพราะฉะนั้นเมื่อเรานี้รู้จักคุณ ของท่านแล้ว เราก็ตอบแทนในความดีของท่านที่ท่านเลี้ยงเรามา เราก็เลี้ยงท่านตอบ เมื่อยังมีชีวิตอยู่ ดำรงวงศ์ตระกูลเอาไว้ ถ้าเกิดท่านจากไปแล้วก็ทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ อันนี้เป็นความหมาย ของคนที่มีคุณความดีแล้วก็หาได้ยากในโลก

เพราะฉะนั้นพวกเรานี้ต้องพยายามตอบแทนคุณบิดามารดา เพราะชีวิตของเราที่เกิดขึ้นมา แล้ว อาศัยท่านเกิดขึ้นมา ได้รูปร่างกายนี้ ได้ท่านอบรมสั่งสอน ต้นทุนเกิดขึ้นมาแม้ว่าจากนั้น ไปแล้วเราจะมีอะไรหลายๆ อย่าง มียศตำแหน่งที่สูงขึ้นไป มีเงินมากมายมีความสุขเหลือล้น อะไรก็ตาม แต่ว่าสิ่งนี้เราได้มาจากคุณของบิดามารดา เป็นผู้ที่ให้การเกิดขึ้นมาของชีวิต

เราก็ต้องตอบแทนคุณของท่านให้ได้ ทางกาย ทางวาจา แล้วก็ทางใจ บางสิ่งบางอย่าง เราผิดพลาดล่วงไป ก็ขอให้ท่านอภัยแก่เรา แล้วเราก็ตั้งใจเลี้ยงดูท่านให้ดี ทำบุญอุทิศส่วนกุศล ไปให้ท่าน บำเพ็ญจิตภาวนา ทำจิตให้สงบนี้ยิ่งเป็นบุญ แนะนำท่าน เพราะบิดามารดา ปรกติก็แนะนำทางสวรรค์ให้แก่บุตรอยู่แล้ว แต่บางทีบุตรเข้าวัด บิดามารดายังไม่เข้าวัด ก็จะเป็นห่วง ก็ต้องพยายามก่อน พยายามที่จะดำเนินชีวิตของเราให้ดีซะก่อน ต่อมาแล้วก็ชักจูงบิดามารดา ให้เข้าวัดได้

เมื่อเราได้ทําอย่างนี้ก็เท่ากับเราได้ตอบแทนคุณบิดามารดา เมื่อเป็นวัยเรียน เราก็ขยันเรียน เพียรอ่านศึกษาให้สำเร็จ เมื่อเป็นวัยที่เราได้ทำงานแล้วก็ตอบแทน มีกำลังกายกำลังทรัพย์ ก็ตอบแทนคุณของท่านที่ท่านเลี้ยงเรามา ก็เลี้ยงท่านตอบอย่างนี้เป็นต้น เมื่อเราทำอย่างนี้ได้สมบูรณ์ บริบูรณ์แล้ว เราก็ชื่อว่าเรานี้มีมงคลอยู่กับตัวเอง มีพระที่อยู่ในบ้าน บางทีเรากราบไหว้พระสงฆ์ กราบไหว้พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ แต่บิดามารดาเรานี้ไม่ไหว้เลยไม่เคารพเลยนี่ไม่ถูกต้อง เพราะอะไร เพราะว่าบิดามารดานั้นเป็นพระ พระก็แปลมาจากคำว่า "วีระ" แปลว่าประเสริฐ เป็นพระพรหมที่อยู่ในบ้านของเรา มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ต่อบุตรอยู่เสมอ มีความเมตตา มีความหวังดีต่อบุตร ช่วยเหลือบุตร ให้พ้นจากความทุกข์ เมื่อลูกมีความดีอย่างใดอย่างหนึ่ง บิดามารดามีความอิ่มใจ สุขใจ ถ้าลูกหลานทำผิดก็ยังให้อภัยอยู่อย่างนั้น พยายามว่าวันหนึ่ง เขาจะต้องกลับมาเป็นคนดี พยายามที่สุดเลย เรียกว่าเป็นพรหมของบุตร เป็นพระอรหันต์ด้วยของบุตร เป็นพระอรหันต์ที่อยู่ในบ้าน

กตัญญูกตเวทีตา เมื่อเราอยู่กับบิดามารดาแล้ว บางครั้งก็อาจจะกระทบกระทั่งไปเป็นธรรมดา ก็เมื่อถึงวันเกิดก็ดี วันนี้ก็ดี เราก็อาจจะแสดงออกซึ่งการขอขมาโทษต่อผู้มีพระคุณของเรา คือบิดามารดาของเรา ให้ยกเว้นโทษทั้งหลายที่เราได้ล่วงเกิน เพราะเป็นธรรมดาว่าเมื่อได้อยู่ร่วมกันแล้ว เมื่อก่อนเราก็เป็นเด็ก บิดามารดาก็เป็นผู้ใหญ่เลี้ยงเรามา ต่อมาแล้วท่านก็แก่ชราไปเรื่อยๆ เราก็เป็นวัยหนุ่ม วัยสาว วัยโตขึ้นมาก็เลี้ยงท่านตอบนะ ผู้ใหญ่ก็กลายเป็นเด็กไปแล้ว เราก็กลายเป็นคนโตไปแล้วก็มี การกระทบกระทั่งบ้างในอารมณ์ที่อยู่รวมกันนะ แต่ว่าในใจลึกๆแล้วก็มีกตัญญูกตเวทิตาอยู่ แต่ว่า อดไม่ได้เมื่ออยู่ใกล้ๆ กันขึ้นมา เราก็ขอขมาลาโทษท่านด้วยเพื่อเป็นสิริ เป็นมงคล แก่ชีวิตของเรา แล้วเราก็ตอบแทนคุณของท่านด้วยความระมัดระวังให้มากทีเดียว เพราะว่า คำพูดน้อยๆ ของเรานี้ มันกระทบกระเทือนมาก พูดนิดเดียวเท่านั้นแหละบิดามารดาจะกระทบกระเทือนใจมากทีเดียวเลย เพราะว่าเกิดมาเป็นผู้ให้ต่อบุตรเสมอ ให้วิทยาทาน ให้ความรู้ ให้ทุกสิ่งทุกอย่างต่อบุตร ถ้าบุตรนี้พูดจากระทบกระเทือนแม้แต่น้อย ไม่มาก เราจะรู้สึกว่าธรรมดา ไม่เห็นหนักอะไรเลย แต่ว่าบิดามารดารู้สึกว่ามันหนักมาก มันเป็นคำพูดที่มีความรุนแรงอย่างมากทีเดียว เป็นความรู้สึก ของผู้ใหญ่ เป็นอย่างนั้น เราก็ต้องระมัดระวังทีเดียว เพราะว่าอะไร เพราะว่าท่านเคยแต่เป็นผู้ให้เรา ต่อมาแล้วท่านแก่ชรา ท่านเป็นผู้รับจากเรา รับดูจากความเมตตาจากเรา รับการเลี้ยงดูจากเรา ทุกสิ่งทุกอย่างเลย โดยที่เราจะต้องดูแลท่าน ถ้าเราพูดจาอะไรกระทบกระเทือน รู้สึกว่า มันมากมายเกินที่ท่านจะรับได้ อันนี้เราก็ต้องระมัดระวังด้วยเมื่อเราได้ทำความดีแล้วก็จะเป็น มงคลกับเรา พระพุทธเจ้าก็สรรเสริญ