ยอมรับสภาพ การพลัดพรากจากคนรัก
เมื่อเราเกิดขึ้นมา เราก็จะได้ทบทวนว่าชีวิตของเรา ในวันคล้ายวันเกิด กี่ปีแล้ว แล้วเราจะอยู่ในโลกนี้
ได้อีกกี่ปี ถ้าชีวิตของคนเรามีอายุแปดสิบปี ตอนนี้เราอายุเท่าไรแล้ว จะเหลือเท่าไร ชีวิตที่เหลืออยู่นี้
เราจะทำอะไร เราจะต้องตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ถ้าเราประมาทมัวเมาไปก็เหมือนกับคนที่ตายแล้ว
แม้จะมีลมหายใจอยู่ก็ตาม แต่ถ้าเรามาระลึกถึงว่า เรามีอายุยืนยาวมาถึงทุกวันนี้ได้ก็เพราะบุญกุศล
ชีวิตที่เหลืออยู่นี้เราก็จะพยายามสร้างความดี
ความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้นมันเป็นอนิจจังทั้งนั้น ก็พิจารณา อยู่อย่างนี้
เขาเรียกว่าคนมีปัญญา ถ้าเรารู้ไม่เท่าทันแล้ว เราก็จะไปยึดในอุปทาน
ขันธ์ทั้ง ๕ เกิดอุปทานขึ้นมาแล้วก็เป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ขึ้นมาในจิตใจ
มีคำถามจากโยมว่า ตอนนี้พ่อ (อายุ ๘๙ ปี) ตอนนี้นอนรอ
อยู่เมืองไทย ไม่สบายไม่รู้ตัวแล้ว เขาไม่มีความสุข บอกให้
เขาทําใจ
๘๙ นี้โอ้ เกินพระพุทธเจ้าแล้ว เราเลิกร้องไห้แล้ว มีบุญมากแล้ว เราก็ต้องคิดใหม่ว่า
ถ้าอยู่ในสังขาร อันนี้ลำบาก อย่างกับสังขารนี่มันเก่าคร่ำคร่าแล้ว มันลำบากแล้ว นี้จิตมันเหมือน
ไปอยู่กับสิ่งที่เก่า คร่ำคร่ามันไม่ไหวแล้ว มันทรมาน ว่าร่างกายนี้มันแตกไป บุญกุศลที่ท่าไว้
จะช่วยทำให้ท่านมีความสุข ท่านจะได้บ้านใหม่ที่มีความสุข ได้ร่างกายใหม่ที่มีความสุข ที่เป็นทิพย์
คือเทวดา แต่ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ก็ได้ร่างกายที่ใหม่ขึ้นมา ก็ยังดีกว่าที่อยู่กับร่างกายที่มันทรุด
มันโทรม เราก็พิจารณา คือเมตตาในท่าน เราก็กลัวท่านพลัดพรากจากเราไป ความคุ้นเคยกัน
พระพุทธเจ้าจึงสอนให้พิจารณาเนือง ๆ ว่า การพลัดพรากจากของรักของชอบใจย่อมมีแก่เรา
คนเราอายุ ๘๐ ปี ถ้าเกิน ๘๐ ไปสักหนึ่งวัน ก็แสดงว่า เราได้กำไรตั้งหนึ่งวันแล้ว สองวันสาม
วันกำไร เป็นปีแล้ว ๘๙ ปีก็เกินตั้ง ๙ ปีแล้ว น่าจะภูมิใจว่า ญาติของเราพ่อของเรา ไม่ได้เบียดเบียน
ชีวิตสัตว์ ไม่ได้ตัดรอนชีวิตของสัตว์ทั้งหลาย จึงมีอายุยืนยาวมาเกินอายุขัยของมนุษย์ในสมัยปัจจุบันนี้
น่าจะภูมิใจ ถ้าเป็นสมัยก่อนคงจะเป็น ๑๐๐ และ สมัยนี้ตอนนี้ ๘๙ ก็นับว่ามากแล้วนะ
ไม่น่าจะเสียใจ เพราะเรามีความรักนั่นเอง ความพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น
จักมีแก่เรา ถ้าเราไม่ได้พิจารณาแล้ว เราจะมีความทุกข์ เราต้องยอมรับว่าอันนี้เป็นธรรมดา
คนเราเกิดขึ้นมาเราจะปรารถนาไม่ต้องการความแก่เจ็บตาย ก็ไม่ได้ ถ้าเราปรารถนาอย่างนี้ก็จะ
เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าคิดสอนธรรมะก็คือสอนให้ยอมรับนับถือ ความเป็นจริงของสังขารว่าเป็นอย่างไร
เราก็ยอมรับอย่างนั้น ใจเราก็จะสบาย
เด็กกับหมู
สำหรับญาติโยมทั่วไป ท่าน (หลวงปู่ชา) ก็สอนในการที่จะแก้จิตของเราที่มีความยึดมั่นถือมั่น
ก็คือในการปล่อยวาง เป็นหลักสำคัญก็คือความปล่อยวางในความรู้สึกของเรา บางครั้งเราจะมี
อารมณ์อะไรที่มันเป็นทุกข์ขึ้นมา ก็ให้พิจารณาว่ามันไม่แน่ไม่เที่ยง อย่างบางครั้งก็ลูกของเรา
มันก็ดื้อมากเกินไป ก็มีญาติโยมเคยถามท่าน ท่านก็ถามว่า ลูกมันเกิดจากไหนนะ เกิดมาจากเราอย่างนี้
แต่เราก็ไปโทษลูกคนเดียว ต้องโทษเราสักครึ่งหนึ่ง ท่านว่าอย่างนี้ คือให้เราย้อนกลับเข้า
มาพิจารณา แล้วก็ปล่อยวางในอารมณ์ในความรู้สึก บางทีท่านก็จะเทศน์ขำๆ เหมือนกันนะ มีคน
ขายหมูมา หมูมันก็มีปัญหาของมัน (คือต้องตาย) คนขายเสร็จแล้วก็มีปัญหา ก็เลยถามหลวงปู่ว่าเป็นทุกข์ใจ
หลวงปู่ก็เลยบอกว่า เอ้าหมูมันยังไม่ต่อรองราคาอะไรเลย ขึ้นราคามากมันก็ตาย ราคาน้อยหมู
มันก็ตาย ใช่ไหม ท่านก็บอกหมูก็ยังไม่เห็นจะต่อรองอะไรเลย เราต้องเป็นทุกข์ทำไมอะไร
มากมายขนาดนั้น คือรู้สึกและได้คิดว่า ที่เราเสียไปก็ยังน้อยกว่าหมูที่ต้องตายไป อะไร
อย่างนี้ ความรู้สึกมันก็ปล่อยวางเลย บางทีท่านก็ยกตัวอย่างง่ายๆแต่ดูเหมือนกับว่าจะมีอะไร
ที่จะทำให้ใจเราปล่อยได้ ปล่อยวางในความรู้สึกที่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งนั้น ก็ปล่อยวางได้ขึ้นมา
สิ่งที่รักษาสมาธินี้ไว้ได้ คือ สติ สตินี้เป็นธรรม เป็นสภาวธรรม
อันหนึ่ง ซึ่งให้ธรรมอันอื่นๆทั้งหลายเกิดขึ้นโดยพร้อมเพรียง
สอบคือชีวิต ท้าขาดสติเมื่อใด เหมือนตาย
สติอยู่ในปัจจุบัน
เป็นเรื่องยากในการกำหนดจิตให้อยู่กับความสงบนั้น เพราะว่าตั้งแต่ที่เราเกิดขึ้นมา
เราก็ฝึกจิตของเราให้มีความจำ แล้วก็ฝึกจิตให้มีความปรุงแต่งอยู่เสมอ เมื่อเราเกิด
ขึ้นมาเราก็ต้องเรียนรู้ในโลก เมื่อเราฝึกจิตของเราไปอย่างนั้นแล้ว เราพิจารณาจิตของเรา
เราก็เกิดความวุ่นวาย ไม่สงบ แล้วก็ไปหลงยึดหลงถือหลงรักหลงชัง มีตัวมีตนเกิดขึ้นมาด้วย
ที่เราจะทำจิตให้สงบ คือให้จิตมาอยู่ในปัจจุบัน อยู่กับอารมณ์อันเดียว ถ้าเราเริ่มฝึกในชาตินี้
เราอาจจะฝึกมาสิบปี แต่ที่เราไม่ได้ฝึกมาก็นาน เป็นการยากสักหน่อยถ้าจะให้อยู่ในความสงบ
อยู่ในปัจจุบันได้ แต่ถ้าเกิดเราเริ่มต้นที่จะฝึกและพยายาม ในวันหนึ่งเราจะนั่งสมาธิที่บ้านเราสัก
หนึ่งชั่วโมง และในระหว่างวันก็พยายามว่า นอกจากเวลาในหน้าที่การงานแล้ว เราจะมีสติรักษา
ใจ เพราะใจที่ไม่สงบนั้น มันปรุงแต่งอยู่ในใจนี้
บางทีเราท่าการงานหน้าที่อยู่แต่สติของเราก็ไม่อยู่ ก็คิดปรุงแต่งไปในอารมณ์ต่างๆ มากมาย
ถ้าเราทำการงานไปด้วย ก็มีสติ ฝึกสติอยู่ในปัจจุบันด้วย สติของเราจะค่อยๆ ดีขึ้น มีความสงบ
ของจิตมากขึ้น เป็นการฝึกกันได้ ต้องหมั่นฝึกฝนอบรมอยู่เสมอ เพราะฉะนั้นถ้าเราฝึกจิตอยู่ใน
ปัจจุบันได้ อาจจะในวันหนึ่งเรานั่งสมาธิที่บ้านจิตก็สงบ จิตสงบ แล้วมันเรียนรู้ในความเป็นจริง
จะปราศจากอารมณ์ที่เราเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน จิตจะค่อยๆ วางอารมณ์ ทั้งหลายได้เข้าสู่
ภายใน กายเบา จิตเบา อันนี้จิตของเราจะได้พัก จิตจะสงบ ให้พิจารณาถึงรูปนาม เป็นอนิจจัง
ทุกขัง อนัตตา จิตจะว่างจากอารมณ์ เมื่อเราฝึกอย่างนี้บ่อยๆ จิตของเราจะเริ่มอยู่ในปัจจุบัน
คือเรารับรู้ในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์มาแล้ว จิตจะรู้เท่าทันได้ แล้วเรา
จะปล่อยวาง ถึงแม้ว่าอารมณ์ที่เป็นอดีตเกิดขึ้นมาเป็นสัญญาอารมณ์ ก็รู้เท่าทัน ได้แล้วก็ปล่อยวาง
เมื่อปล่อยวางได้แล้วจากความยึดถือ ความทุกข์ของจิตจะน้อยลงไปเรื่อยๆ จนมีสติรู้
เท่าทันอยู่เสมอ เหมือนกับเรามีสติทีละน้อยก็เหมือนน้ำหยดทีละหยด ต่อมามันก็ถี่ขึ้น
ถี่ขึ้นไปเรื่อยๆ ก็เป็นสายน้ำ สายน้ำที่เป็นสาย คือสายของสติที่สมบูรณ์ ก็เกิดจากน้ำทีละหยด
ละหยดแต่มันถี่ขึ้น ถี่ขึ้นนั้นเอง จนต่อเนื่อง สติของเรานั้นก็เหมือนกัน สติธรรมปัญญาธรรม
ที่ต่อเนื่อง จะทำให้ใจของเราไม่มีความทุกข์ แต่ในเริ่มแรกเบื้องต้นก็ต้องฝึก ฝึกเสีย ก่อนพยายาม
ฝึกฝนอบรมทำให้มาก เจริญให้มาก ก็จะเกิดผลขึ้นมากับนักปฏิบัติทุกคน
รู้เท่าทัน ดึงสติกลับมาให้ไวที่สุด
ท่านเปรียบเหมือนกับว่า ต้นข้าวนั้นเป็นอาหารของวัว เจ้าของต้องคอยดูว่าวัวนั้นจะไปกินต้นข้าว
ทำไร่นาให้เสียหาย ถ้าเผลอเมื่อไรวัวก็จะไปกินต้นข้าวในนา จิตนี้ก็เหมือนกัน ถ้าเราเผลอเมื่อไหร่
ก็จะไปยึดในอารมณ์ที่เข้ามา ในวันหนึ่ง ๆ นี้ เราก็รับรู้ในอารมณ์มามากทีเดียว ทั้งที่เราไปอยู่ที่ทำงาน
หรือเรามาปฏิบัติภาวนา ตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นสัมผัสรส กายถูกต้องโผฏฐัพพะ บางครั้ง
เราอยู่เงียบๆ ก็เกิดความรู้สึก นึกคิดขึ้นมา เป็นธรรมารมณ์เกิดขึ้นมาที่ใจ ใจเมื่อรับรู้อารมณ์แล้ว
ไม่มีสติควบคุม ก็จะวิ่งไปในอารมณ์นั้น ๆ ไปยึดมั่น ถือมั่นในอารมณ์นั้น มาเป็นตัวเป็นตน
เกิดความรู้สึกขึ้นมาที่จิตใจนี่แหละ
ความสงสัยในการปฏิบัติ
เมื่อเราปฏิบัติอยู่นี้เราอาจจะสงสัย สงสัยในวิธีการปฏิบัติ วิธีการปฏิบัติอย่างไรที่จะได้ผล
ปฏิบัติอย่างไรที่จะเร็วที่สุด เพราะวิธีการปฏิบัติมากมาย มีอาจารย์ก็สอนมากมาย หลายวิธีการ
แต่หลวงพ่อชาท่านก็จะเน้นอยู่ในการไม่ยินดี ไม่ยินร้าย เมื่อเรานี้แหละ มีตา มีหู มีจมูก ลิ้น
กาย ใจ สิ่งเหล่านี้มันจะรับรู้ในอายตนะภายนอก ก็คือรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ
ธรรมารมณ์ มากระทบกันแล้ว จะรู้สึกอย่างไร จะรู้สึกยินดีบ้าง ยินร้ายบ้าง ตรงนี้จิตของเรา
มันจะปรุงแต่งไปทั้งสองฝ่ายทั้งสองทาง ก็จะไม่สงบ เราต้องมีสติรักษาจิต ให้จิตของเรา
ไม่ยินดีกับไม่ยินร้ายอยู่ตรงกลาง อยู่ตรงกลางนี้เราจะได้เห็นธรรมะ เห็นความเป็น อนิจจัง
ทุกขัง อนัตตา ของรูป ของนาม เพราะธรรมชาติจิตที่หลงก็จะเข้าไปยึดถือในอารมณ์
เมื่อเราสร้างผู้รู้ขึ้นมา ให้รู้เท่าทันจิตของเรา สอนจิตของเราให้เข้าใจความเป็นจริง และจิตก็ไม่เข้าไปยึด
ในความสุขความทุกข์ จิตจะอยู่ตรงกลางเมื่อจิตของเราอยู่ตรงกลางมากขึ้น จิตของเราก็มีสมาธิ
มีปัญญา ในที่สุดแล้ว ศีล สมาธิ ปัญญาก็รวมกันเข้ามา เราก็จะเข้าใจความเป็นจริงแล้ว
เพราะฉะนั้นในเบื้องต้นนี้ทำอย่างไร จะให้เรานั้นมีสติอย่างต่อเนื่อง ทำอย่างไรจะให้เรามีใจที่ตั้งมั่น
ทำอย่างไรจะให้เรามีปัญญา มารู้แจ้งเห็นจริงได้ เพราะเมื่อเราบริกรรมภาวนา หรือเราพยายามเจริญสติ
ยังไม่ได้ถึงที่จะสงบเราก็จะสงสัย ความสงสัยนี้มันจะพาเราปรุงแต่งวุ่นวาย ค้นคว้าศึกษาตำรับ
ตำรา หาครูบาอาจารย์ มันก็จะออกไปนอกกายนอกใจ ถ้าความสงสัยเกิดขึ้นทำให้เรารู้เท่าทัน
ความสงสัย แล้วก็กลับเข้ามามีสติ อยู่ที่กายนี้หรือบริกรรมได้ ถ้าจิตของเราสงบความสงสัย
มันจะหายไป เราจะเข้าใจความเป็นจริงได้อย่างชัดเจน
ขันติต้องมีในจิตใจของเรา
ในการปฏิบัติ เราต้องพยายาม อาศัยพยายาม อาศัยอดทน ความเพียร เพราะในเบื้องต้น
เราต้องการความสงบ แต่เมื่อเรามีสติยังไม่ต่อเนื่อง ความสงบมันก็ไม่เกิด หรือเกิดขึ้นมาแล้ว
เราพิจารณากาย ความสงบมันก็หายไป ในบางครั้งเรามีอารมณ์ รับรู้อารมณ์เข้ามาทางอายตนะ
เกิดความโลภ เกิดความโกรธ เกิดความหลง เกิดความสงสัย หรือเกิดความง่วงหงาวหาวนอน
ในการปฏิบัติ บางครั้งจิตก็ฟุ้งซ่านไปในอารมณ์ทางโลก ที่เรียกว่านิวรณ์ ๕ มันจะเกิดขึ้น เพราะเมื่อ
กำลังสติสมาธิเรามีระดับหนึ่ง เราก็ชนะนิวรณ์ ๕ ได้ และนิวรณ์ ๕ นี้ก็จะมีกำลังมากขึ้นไปอีก
เราก็ต้องอาศัยสติ สมาธิ ปัญญา ที่จะผ่านนิวรณ์ ๕ นี้ให้ได้ และบางครั้งมันผ่านไม่ได้มันก็วุ่นวาย
และก็สงสัย และก็ฟุ้งซ่าน ก็หาวิธีการ แล้วก็เข้าใจว่าการภาวนาของเรานั้นมันจะไม่ถูกจริต
มันก็จะวุ่นวายในใจ คือเราไม่เข้าใจความจริงนั่นเอง แท้ที่จริงแล้วสิ่งที่ทำให้เราไม่สงบ
นี้คือนิวรณ์ ทั้ง ๕ ประการ กามฉันทะ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจะกุกกุจจะ วิจิกิจฉา เพราะฉะนั้น
เราต้องพยายามมีความเพียร เราจะเดินจงกรมจะนั่งสมาธิ พยายามให้สติของเรามันต่อเนื่องให้ได้
ให้ใจของเรามันตั้งมั่นให้ได้ ถ้าใจของเราตั้งมั่นได้ดี ความสงสัยมันก็จะหายไป บางครั้งอาจจะเกิด
สภาวธรรมปรากฏขึ้น เห็นสิ่งทั้งหลายเป็นสมมุติทั้งนั้นในโลกนี้ ใจของเราก็วิมุติหลุดพ้น
เราก็เข้าใจแล้วว่า โอ้! มันต้องเป็นลักษณะอย่างนี้มันถึงจะทำลายกิเลสให้เป็นสมุจเฉทปหานได้
อาจมีกําลังจิตอยู่ได้นานหลายๆวัน ก็ได้ในการรู้การเห็นทีสภาวธรรมเกิด ที่ท่านเรียกว่า
วิปัสสนาญาณ ๙ เห็นร่างกายไม่สวยไม่งาม เห็นร่างกายมันเสื่อมไป เห็นความเกิดดับของสังขาร
เห็นสังขารเป็นของที่น่ากลัว วัฏฏสงสารนี้น่ากลัวมาก เกิดญาณ เกิดความรู้ขึ้นมา มันจะปรากฏชัด
เข้ามาในการปฏิบัติ เพราะฉะนั้นถึงเราจะสงสัย หลวงพ่อชาก็บอกให้เราปฏิบัติไม่หยุด ก็จะได้เห็นธรรมะ
เราต้องเข้าใจซะก่อนว่าวิธีการทั้งหมด ที่เรารักษาศีลก็ดี ที่เราสำรวมระวังก็ดีในพระวินัย ก็เพื่อ
ให้จิตของเราสงบทั้งนั้น ถ้าจิตสงบแล้ว เราเปลี่ยนเป็นความตั้งมั่น เมื่อจิตตั้งมั่นพิจารณาเห็นชัด
จิตจะปล่อยวางได้ จะแยกกันได้ จิตเราจะแยกจากอุปาทานได้อย่างชัดแจ้ง เราก็จะไม่สงสัย
เราจะเริ่มเข้าใจความจริงนี้ ความเพียรมันจะเกิดขึ้นเองแล้วถ้าถึงจุดนี้
ท่าอย่างไรเมื่อสติยังอ่อนแล้วกิเลสกำเริบมาก
คือสติอ่อนลงแล้ว แต่เราก็ยังรู้ว่า ความโลภก็ดี ความโกรธก็ดี ความหลงก็ดี มันเกิดขึ้น
แล้วมันก็ปรุงแต่งอยู่ในใจของเรา เราก็ต้องควบคุมเอาไว้ได้ด้วยความอดทนก่อน อดทนรู้อยู่แล้ว
ว่ามันมีความคิดอกุศลที่เกิดขึ้น คือกิเลสเกิดขึ้น แต่เรารู้ สติเรารู้ แต่เราทำอะไรไม่ได้ สติอ่อน
เราก็อดทนไว้ แล้วก็ตามดูความรู้สึกของเรา มันจะปรุงแต่งไปอย่างไร เราก็ดูไว้ ในที่สุดแล้ว
ความปรุงแต่งมันอ่อนกำลังลง เราก็ดึงกลับมาพิจารณาในกายก็ดี ถ้าราคะเกิดขึ้นเราก็พิจารณาอสุภะ
ความโกรธก็มาเจริญเมตตา ความหลงเกิดขึ้นยึดถือก็พิจารณาถึงความปล่อยวาง ถึงความตาย
ความปล่อยวางในรูปในนาม ตอนที่กำลังของกิเลสมันอ่อนลงไปเราก็พิจารณาก็จะสงบขึ้นมา
แต่เราอย่าไปดิ้นรนปรุงแต่งหรืออย่าไปอยากให้สงบ หรืออย่าไปอยากให้ความวุ่นวายนี้มันหมดไป
เพียงแต่เฝ้าดูเอาไว้ รอจังหวะ แล้วก็ดึงสติของเรา แล้วก็พิจารณา แล้วก็จะสงบลงได้
สติกับการงาน
พยายามมีสติ คือเราทำกิจอย่างอื่น เราทำการงานก็มีสติอยู่ในปัจจุบัน อย่าไปปรุงแต่งไปในอดีต
กับอนาคต เราทำงานอะไรก็อยู่ปัจจุบันนั้น ก็จะช่วยได้มากในการปฏิบัติ เมื่อเรานั่งสมาธิ มันจะต่อเนื่อง
และสงบได้เร็ว บางครั้งขณะที่ทำงาน เจออุปสรรค มักจะทำอะไรผิดพลาดไปหรือมีปัญหาเกิดขึ้น
ทําให้จิตออกปรุงแต่งไปในทางไม่สงบ
ก็ต้องดึงสติเรากลับมาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ เมื่อจิตของเราสงบดีแล้ว ก็ยกเรื่องความ
ที่เราผิดพลาดนั้นมาพิจารณา เราจะเข้าใจได้ชัดเจนขึ้นเมื่อจิตของเราสงบ ถ้าเราปรุงแต่งไปอีก
เราจะเสียกำลังของจิต พยายามให้เรามีที่อยู่ของเรา เหมือนเรามีบ้านเป็นที่อยู่ของร่างกายก็ให้มีสติ
อยู่กับจิตเรา จิตของเราจะได้นิ่งสงบได้ เราจะได้พิจารณาแก้ปัญหานั้นๆ ได้ด้วยความรวดเร็วแล้วก็ถูกต้อง
อดทนต่ออารมณ์
เราก็ต้องมีขันติ เมื่อมีอารมณ์เข้ามาสู่ใจของเรา เราก็ต้องมีขันติ หรือมีความอดทนเอาไว้
เมื่อเรามีศีล ก็คือเรามีขันติ มีความโกรธ เราก็ไม่ทำร้าย ไม่พูดให้เจ็บใจอย่างนี้เป็นต้น มีขันติ
มีความรัก ก็มีขันติ สติปัญญาของเราก็ดีอยู่แล้ว เราก็มีขันติ ไม่ทำให้สติปัญญาของเรามันเสื่อมถอยไป
ขันตินี้จึงเป็นธรรมที่นักปราชญ์บัณฑิตนั้นสรรเสริญ แล้วก็เป็นธรรมที่นักปฏิบัติต้องฝึกหัด
ทางด้านจิตใจ นั่งสมาธินานๆ ก็ปวดก็เมื่อย ก็มีความอดทน