สมาธิภาวนา อานาปานสติกรรมฐาน อานาปานสติกรรมฐาน การกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกนี้เป็นอารมณ์ ปกติจิตนี้ของเรา มันจะระลึกไป คิดปรุงแต่งไปไม่หยุด เราจะหยุดได้อย่างไร เราจะต้องมาฝึกกรรมฐานและภาวนา โดยเบื้องต้น การนั่งสมาธินั้น ก็นั่งขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย ตั้งกายให้ตรง ดำรงสติของเราอยู่เฉพาะหน้า การนั่งนั้นไม่เอนไปด้านซ้าย ด้านขวา ด้านหน้า ด้านหลัง นั่งให้พอดี ศีรษะก็ไม่เงยไปนัก ไม่ก้มไปนัก การหลับตาก็อย่าไปบีบในดวงตา หลับตาพอดีๆ อยู่ในลักษณะที่เกิดความสมดุล ผ่อนคลาย เราทำเหมือนกับความรู้สึกว่าเรานั่งอยู่คนเดียว เราก็กำหนดรู้ลมหายใจว่า ลมหายใจเข้า ฐานที่หนึ่งก็อยู่ที่ปลายจมูก ฐานที่สองก็อยู่ที่หทัย (กลางทรวงอก) ฐานที่สามก็อยู่ที่สะดือ เรากำหนดรู้ตามลมไป ลมหายใจออกมานั้น ฐานที่หนึ่งก็อยู่ที่สะดือ ฐานที่สองก็อยู่ที่หทัย ฐานที่สามก็อยู่ที่ปลายจมูก ครั้งแรก กำหนดรู้โดยตามลมหายใจทั้งสามฐาน เมื่อเรามีสติ รู้ลมหายใจเข้าออกนี้ พร้อมกำหนดรู้ทั้งสามฐานได้เป็นอย่างดีแล้ว ต่อไปก็รู้เฉพาะลมเข้าลมออก ที่ปลายจมูก ลมหายใจเข้าก็รู้ ลมหายใจออกก็รู้ ดูที่ปลายจมูก

ผู้ใดมีสติอยู่ทุกเวลา ผู้นั้นก็จะได้ฟังธรรมะของพระพุทธเจ้า อยู่ตลอดเวลา ความจริงการปฏิบัติตามค่าสอนของพระพุทธเจ้านั้น ไม่มีอะไรล่าบาก ไม่มีอะไรยุ่งยาก การปฏิบัติตามทางของพระองค์ ไม่มีทุกข์ เพราะทางของพระองค์คือ ปล่อยวางให้หมดทุกสิ่ง ทุกอย่าง

ค่าบริกรรมภาวนา เราจะมีคำบริกรรมภาวนา หายใจเข้าออกกำหนดพุทโธ หายใจเข้าพุทโธ หายใจออกพุทโธ หายใจเข้าพุท หายใจออกโธ ก็ได้ เราก็กำหนดคำบริกรรมภาวนากำกับไปด้วย เมื่อจิตสงบแล้ว คำบริกรรมก็จะหายไปเองโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ ก็เพียงรู้แต่ว่าลมเข้า ลมออก เมื่อกำหนดต่อไป ลมหายใจจะละเอียดขึ้น จนกำหนดลมไม่ได้ก็ให้รู้จักไว้ ในบางครั้ง จิตจะนึกคิดปรุงแต่งไปในอารมณ์ ที่เป็นอดีต ที่เป็นอนาคตก็ดี ให้พยายามมีสติ มาอยู่ในปัจจุบัน กำหนดรู้ลมนี้ ถ้าจิตฟุ้งซ่านเกินไป เรากำหนดรู้ไม่ได้ ก็ให้เรานี้สูดลมหายใจ เข้าไปให้เต็มปอด แล้วระบายลมหายใจออกมา ทำอย่างนี้สักสามครั้ง แล้วเราก็ตั้งลมหายใจขึ้นใหม่

กำหนดรู้ลมโดยการนับตัวเลข การกำหนดรู้ในวิธีที่สองนั้นก็คือ การนับเป็นคู่ ลมหายใจเข้านับว่าหนึ่ง ลมหายใจออก นับว่าหนึ่ง ลมหายใจเข้านับสอง ลมหายใจออกนับสอง ลมหายใจเข้านับสาม ลมหายใจออก นับสาม ลมหายใจเข้านับสี่ ลมหายใจออกนับสี่ ลมหายใจเข้านับห้า ลมหายใจออกนับห้า ให้นับเป็นคู่ คู่ที่หนึ่ง คู่ที่สอง คู่ที่สาม คู่ที่สี่ แล้วก็คู่ที่ห้า แล้วเราก็มาเริ่มนับตั้งแต่คู่ที่หนึ่ง ลมหายใจเข้านับหนึ่ง ลมหายใจออกนับหนึ่ง จนไปถึงคู่ที่ห้า เพิ่มเป็นว่าลมหายใจเข้านับหก ลมหายใจออกก็นับหก เพิ่มทีละคู่ คู่ที่หนึ่ง ที่สอง ที่สาม ที่สี่ ที่ห้า ที่หก แล้วเราก็เริ่ม คู่ที่หนึ่งใหม่ คู่ที่หนึ่ง ที่สอง ที่สาม ที่สี่ ที่ห้า ที่หก คู่ที่เจ็ด เพิ่มทีละคู่อย่างนี้คู่ที่เจ็ดแล้วก็มานับ คู่ที่หนึ่ง ที่สอง ที่สาม ที่สี่ ที่ห้า ที่หก ที่เจ็ด ก็เพิ่มเป็นคู่ที่แปด พอเพิ่มเป็นคู่ที่แปดแล้ว ก็มาตั้งอีก เป็นคู่ที่หนึ่ง ที่สอง ที่สาม ที่สี่ ที่ห้า ที่หก ที่เจ็ด ที่แปด ที่เก้า ก็มานับคู่ที่หนึ่งอีก เพิ่มเป็นคู่ที่เก้า คู่ที่สิบ นับอย่างนี้ จะเห็นว่าถ้าการนับของเราก็ถูกต้อง ไม่หลงลืม แสดงว่าสติของเรา อยู่กับการนับ

เมื่อนับได้ดีแล้วเราสังเกตเห็นว่า ลมหายใจชัดเจนขึ้น เราจะนับเร็วขึ้นดังนี้ ลมหายใจเข้านับว่า หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า ลมหายใจออกนับ หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า นับให้คล่องแคล่ว ต่อการนับ นับคู่ที่ห้าแล้วก็เพิ่ม ลมหายใจเข้า หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า หก ลมหายใจออกก็ หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า หก แล้วจะนับแต่คู่ที่หนึ่งถึงคู่ที่ห้า อันไหนสบายเราก็ลองดูว่า การนับ หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า หก แล้วรู้สึกพอดีสติก็อยู่ ไม่ได้คิดไปไหน นับอย่างนี้จนชำนาญ บางครั้งรู้สึกว่า จิตจะปล่อยการนับไปเอง เกิดความรู้สึกว่าอยู่กับลมหายใจ รู้สึกพอดีแล้ว ก็รู้ลมหายใจเข้า ลมหายใจออกอยู่ปลายจมูก ก็เรียกได้ว่าจิตก็สงบโดยวิธีการนับ นับเป็นคู่

เดินจงกรม เมื่อจะเดินจงกรม ก็ยืนในท่าสำรวม มือขวาทับมือซ้าย ทอดสายตาลงให้พอดี ไม่มากนัก ไม่มองไปทางซ้าย ทางขวา ทางหน้า ทางหลัง ไม่เงยไปนัก ไม่ต่ำนัก ให้พอดี เมื่อเราเดินไป เท้าขวาพุท เท้าซ้ายโธ ต้นทางก็รู้จัก หลวงพ่อชาท่านจะสอนว่า เมื่อเราเริ่มเดินอยู่ต้นทางก็รู้จัก เดินไปกลางทางก็รู้จัก เดินไปปลายทางก็รู้จัก เมื่อหยุดแล้วก็ตั้งสติ หันกลับมา "พุทโธ พุทโธ พุทโธ" เมื่อกำหนดการหมุนกลับได้ก็ตั้งสติ ต้นทางมีความรู้ เดินกำหนดเท้าขวาพุท เท้าซ้ายโธ กลางทางก็มีความรู้ ปลายทางก็มีความรู้ คือให้มีสติรู้ทั้งสามระยะ กำาหนดเดิน อยู่อย่างนี้ เดินกลับไปกลับมา เรียกว่าเดินจงกรม ดูตามโอกาสเวลา ตามสถานที่ ถ้าสถานที่ มีระยะไกล ๆ ได้ก็ ยี่สิบห้าก้าว ถ้าน้อยๆ ก็ลดลงมา แต่ว่าเดินให้ช้าลง อย่าไวนัก อย่าช้านัก เรากำหนดในสติ การเดินจงกรม

จุดหมายสูงสุดของการปฏิบัติภาวนานั้น ท่านทรงสอนให้ปล่อยวาง อย่าแบกถืออะไรให้มันหนัก ทิ้งมันเสีย ความดีก็ทิ้ง ความถูกต้องก็ทิ้ง

ขั้นตอนของจิตที่สงบ ถ้ากำหนดตั้งสติของเราได้ดี จิตระลึกรู้อยู่ในการนับ ก็จะไม่ระลึกไปในอารมณ์อื่น ไม่ระลึกไป ในกามฉันทะ พยาบาท ความง่วงหงาวหาวนอน ความฟุ้งซ่าน ความหงุดหงิด ความลังเลสงสัย ก็ไม่เกิดขึ้น สมาธิจะตั้งมั่นขึ้นมา สมาธิจะเกิดขึ้น เกิดขึ้นได้ลักษณะที่สงบขึ้นมาได้สักครู่หนึ่ง นั่นก็สมมุติเรียกว่าขณิกะ คือเล็กน้อย

ถ้าเรากำหนดสมาธิของเราอย่างนี้จนมีสติต่อเนื่อง บางครั้งจะเกิดอาการที่เรียกว่าปีติ กายนี้ มีลักษณะที่โยกโคลง และความรู้สึกทางจิต กายนี้สูงใหญ่ มีลักษณะขนลุกขนชั้น หรือลักษณะ เย็นทั่วร่างกาย หรือมีลักษณะที่ซู่ซ่าเหมือนคลื่นกระทบฝั่ง เมื่อกำหนดรู้สติอย่างนี้ต่อเนื่อง มืออาจจะหายไป เท้าหายไป ความรู้สึกในตัวเรานี้หายไปได้ครึ่งตัว หรือทั้งหมดเลย รู้สึกว่า กายเบาหมด กายของเราเบาแล้วคือช่วงนี้จิตสงบ จิตไม่ยึดกับกายชั่วคราว จะรู้สึกว่ากายเบา จิตก็เบาด้วย เมื่อเบามากๆ ขึ้นก็เหมือนกับว่าเรานั่งอยู่บนกลางอากาศ เหมือนกับลอยได้ รู้สึกสบายและ นั่งได้สบาย เรียกว่าสมาธิของเราก็มีกำลังมากขึ้น เป็นอุปจารสมาธิ

ถ้าสมาธิมากกว่านั้น จิตก็มีความสุข ความแน่น รู้สึกว่ามันแน่น มันสุข มีปีติ แล้วก็มีความสุข จิตเป็นหนึ่ง นิ่งเลย ไม่นึกคิดอะไรเลย ช่วงนี้เราก็ไม่ไปบังคับ จิตเป็นเอง จิตเข้าสู่เอกัคคตารมณ์ เอกัคคตาจิต มีอารมณ์อันเดียว จิตสงบเป็นหนึ่งขึ้นมา เป็นสมาธิ

ธรรมกายในก็ดี ภายนอกก็ดี ล้วนเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นของไม่แน่นอน มีความเกิดเป็นเบื้องต้น มีความแก่เป็นท่ามกลาง มีความตายเป็นที่สุด เหมือนกันหมด

จิตสงบด้วยการพิจารณา (ปัญญาอบรมจิต) ความสงบนี้ มันจะเป็นลักษณะอย่างนี้แหละ คือว่าเรากำหนดสติ คำบริกรรมภาวนาก็ดี หรือ ลมหายใจก็ดี ความสงบจะได้ระดับหนึ่ง จะเป็นขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ มันจะอยู่ได้ ๕ นาที ๑๐ นาที ๒๐ นาที ความสงบมันก็จะหายไป ก็ต้องพิจารณากาย เห็นเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือเป็นปัญญาอบรมจิตให้เป็นสมาธิ เราก็ต้องทำสมาธิให้บ่อยๆ ก็ต้องพิจารณาให้บ่อยๆแล้ว ความสงบจะค่อยๆ พัฒนาตามลำดับ

ในพรหมวิหาร ๔ มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโทสะจริต เพราะว่า โทสะจริตนี้ก็จะขาดความเมตตาความรักต่อคนอื่น เมื่อเจริญเมตตาแล้ว จิตใจที่ร้อนก็จะเย็นลง จิตใจที่มุ่งร้ายคนอื่นนั้นก็จะสงบลงได้ นี่คือเมตตา กรุณา คิดช่วยเหลือบุคคลอื่น คือเมื่อบุคคลอื่นเขามีทุกข์ กรุณาช่วยเหลือให้เขาพ้นจากความทุกข์ ช่วยเหลือตัวเองด้วยให้พ้นจากทุกข์ ช่วยเหลือคนอื่นด้วยให้พ้นจากทุกข์ มุทิตาจิต คือความพลอยยินดีกับความดีของบุคคลอื่น เพราะเป็นธรรมชาติของกิเลสที่จะมีความ อิจฉาริษยา ถ้าคนอื่นเขามีความดีแล้วก็จะไม่ยินดีด้วย จะอิจฉาริษยา ก็ต้องเจริญมุทิตา พลอยยินดีกับคนอื่นเขา ส่วนอุเบกขาบารมี อุเบกขาในพรหมวิหารนี้ คือเมื่อคนอื่นเขา เพลี่ยงพล้ำไป มีโลภ มีโกรธ มีหลง มีกิเลสเกิดขึ้นมา ก็จะไปซ้ำเติมเขาอีก ไม่วางเฉย ฉะนั้นในข้ออุเบกขานี่คือเราวางเฉย เมื่อคนอื่นเขาได้รับกิเลสหรือมีกิเลสเกิดขึ้น มีโลภ มีโกรธ มีหลง เราก็พยายามจะช่วย มีเมตตา มีกรุณาเขา แต่เมื่อยังช่วยไม่ได้เราก็วางอุเบกขาเอาไว้ก่อน มีโอกาสเราก็จะแนะนำเราก็ช่วยสอน ไม่ไปซ้ำเติมในความผิดของคนอื่นเขา ที่เขาได้รับความทุกข์ทางกายทางใจ ก็เพราะว่าอำนาจของกาม อำนาจของกิเลสที่เกิดขึ้นกับเขานั้นเอง คือวางเฉยเอาไว้ก่อน

ส่วนอุเบกขาในอารมณ์นั้นคือไม่ยินดีไม่ยินร้าย อันนี้เป็นอุเบกขาสัมโพชฌงค์ ที่จะตรัสรู้ อุเบกขาในพรหมวิหาร ๔ นี้เป็นสมถะกรรมฐาน ไม่ให้จิตของเรามันไปซ้ำเติมคนอื่น ให้จิตของเรา อยู่นิ่งๆ คราวนี้ท่านอุปมาอุปมัยเหมือนกัน อย่างเมตตานี่ท่านอุปมาอุปมัยว่า สมมุติว่ามีโจรจะมาจับ ในกลุ่มของเราสัก ๕ คน จะต้องการเอาชีวิตคนหนึ่ง เราอาจจะเสียสละชีวิตของเรา ให้โจรเขาไปฆ่าซะ ก็เพื่อรักษามีเมตตาต่อคนอื่นเอาไว้ ถ้าเกิดเป็นอุเบกขานี่คือต้องวางเฉย วางเฉยทั้งหมด แล้วแต่ว่า เขาจะเอาคนไหนไป เราก็ต้องวางเฉยไม่ไปยินดีไม่ไปยินร้ายอะไรแล้ว จะให้เราไปก็ได้ ให้คนไหน ก็ได้ ต้องวางอุเบกขาเฉยๆ ความหมายลักษณะอย่างนี้

พิจารณาความตาย บางครั้ง มีความโลภโกรธหลงรุนแรง หลวงปู่ชาก็แนะนำว่า ให้เจริญมรณนุสติ พิจารณาว่า เราต้องตาย กายอินทรีย์นี้ต้องขาด การเจริญมรณนุสติ คือพิจารณาว่าชีวิต อินทรีย์นี้เราจะต้อง ตายแน่นอน บางคนเกิดขึ้นมาอยู่ในท้องตายก็มี เกิดมาได้วันสองวันตายก็มี เกิดมาได้แค่ปีเดียวก็ตาย หรือเป็นหนุ่มเป็นสาวก็ตาย หรือตายตามอายุขัย สรุปรวมแล้วก็ตาย ถ้าเราได้เจริญในมรณนุสติ ก็จะกำราบจิตที่มีราคะ โทสะ โมหะ แล้วถ้าเราเจริญเป็นประจำจะบรรลุธรรมได้อย่างไร ท่านว่าผู้ เจริญมรณนุสตินั้น มีอานิสงส์ อุปจารสมาธิ แต่ตอนเห็นธรรม ก็ไม่ได้เห็นตอนที่เราเข้าฌาณ เห็นตอนจิตของเรานี้มีความสงบจากนิวรณ์นั้นเอง แล้วพิจารณาตามกระแสธรรม ที่เราได้ยินได้ฟัง หรือได้พิจารณา ก็จะเห็นธรรมได้

อย่างเช่นกุมารีน้อยได้ฟังธรรมขององค์พระประทีปแก้ว พระพุทธเจ้าได้ตรัสเรื่องมรณนุสติ กุมารีน้อยนั้นเจริญมรณนุสตินั้นเป็นประจำ จนถึงวันที่ บารมีของเธอนั้นจะเต็มแล้ว พระศาสดาก็ได้เสด็จมาที่หมู่บ้าน พร้อมทั้งนิ่งอยู่ ยังไม่ตรัสอะไรทั้งนั้น กุมารีน้อยจะเข้าไปนำอาหารไปให้กับบิดา แต่เธอเห็นว่าพระพุทธเจ้า โอกาสจะมาหมู่บ้านของเธอ นั้นน้อยมาก จึงแวะไปที่พระพุทธเจ้าก่อน จึงได้ฟังธรรม พระพุทธเจ้าจึงถามเป็นปริศนาธรรมว่า "เธอมาจากไหน" กุมารีน้อยนี่พิจารณาในธรรมะเป็นประจำ ในการมาจากบ้านก็ดี พระพุทธเจ้า ก็ทราบอยู่แล้ว หรือพระองค์ก็มีพระพุทธญาณอันไม่มีอะไรกางกั้น ก็ทราบว่าเธอจะไปไหน แต่พระองค์ ไม่ได้ประสงค์ต้องการถามอย่างนั้น ประสงค์จะถามเป็นธรรมะ กุมารีน้อยจึงตอบไปว่า"ไม่ทราบ ไม่ทราบพระเจ้าค่ะว่ามาจากไหน พระพุทธเจ้าก็ทรงถามต่อว่า"เธอไม่ทราบหรือ" กุมารีน้อยก็ตอบ อีกว่า"ทราบ" มีความหมายอย่างไร ทีแรกตอบว่าไม่ทราบ ที่สองตอบว่าทราบ แล้วว่า"เธอทราบชัดไหม" กุมารีน้อยก็ตอบว่า"ไม่ทราบอีก" ประชาชนก็มีความรู้สึกว่าทำไมเด็กตัวเล็กๆ จึงมาโต้ตอบคำถาม กับพระศาสดาที่เขาเคารพสูงสุด พระพุทธเจ้าก็เลยจะให้เด็กเฉลย จึงได้ถามว่าไอ้ที่เธอไม่ทราบนั้น มันมาจากไหน มีความหมายอย่างไร เธอก็บอกไม่ทราบว่าเธอนั้นเกิดมาจากไหน ชาติที่แล้วก็ไม่ทราบ แต่ทำไมเธอตอบว่าทราบเธอ ทราบว่าจะเกิดมาจากไหนก็ตาม ชีวิตของเธอนี้ก็ต้องตาย พระพุทธเจ้าก็ถามอีกว่า อ้าวในเมื่อต้องตาย ไอ้ที่เธอตอบว่าไม่ทราบนี้ หมายความว่าอะไรอีก บอก ไม่รู้ว่าตายเมื่อไหร่ ตายเวลาใด เด็กก็ไม่ทราบเพียงเท่านั้น จิตของเธอก็ได้รวมลงมา เข้าใจ ความเป็นจริง ยอมรับนับถือความเป็นจริงว่าชีวิตเกิดขึ้นมาต้องตาย ทีแรกก็ยอมรับอยู่ในระดับหนึ่ง คือเป็นสมถะกรรมฐาน เพราะบริกรรมภาวนาหรือพิจารณาแล้ว จิตสงบเป็นมรณนุสติอยู่เป็นประจำ เมื่อชีวิตจะต้องตาย ไม่มีอะไรในชีวิต เมื่อจิตนั้นรวมเข้ามา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา รวมเข้ามาแล้ว ยอมรับความเป็นจริง เห็นความเป็นจริงว่า ที่ตายนั้นไม่ใช่เรา ที่ตายนั้นมันเป็นธาตุสี่เกิดขึ้น ตั้งอยู่แล้วก็ดับไปตามกาลตามเวลา ที่พระพุทธเจ้าสอนก็เป็นเช่นนั้น กุมารีน้อยนั้นจึงได้ดวงตา เห็นธรรมเป็นพระโสดาบันบุคคล

จิตสงบด้วยการสวดมนต์ภาวนา การสวดมนต์นั้นมีอานิสงส์ที่จะระงับความฟุ้งซ่านของจิตใจของเรา ทำให้ใจของเราได้มีความสงบ มีความเยือกเย็น ในด้านจิตใจ เป็นการภาวนาปฏิบัติอย่างหนึ่ง เมื่อเรามาสวดมนต์ภาวนาไป พร้อมด้วยมีสติจดจ่อในบทสวด แต่ละบทนั้นก็มีความหมายอยู่ในแต่ละบท ซึ่งเมื่อเรามีเป้าหมายเช่นนี้ เราจะยกขึ้นมาพิจารณาบางครั้งในขณะสวดก็จะเกิดปีติ เกิดความสงบของใจได้ เพราะว่าเรา มีความลึกซึ้งในคำสอนขององค์สมเด็จพระศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า