อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ท่าน (หลวงพ่อชา) ก็จะสอนว่า เมื่อจิตสงบแล้วให้พิจารณาสังขาร ร่างกายให้เห็นว่า ไม่สวยไม่งาม ให้เห็นว่าไม่เที่ยง ให้เห็นว่าเป็นทุกข์ ให้เห็นว่าไม่ใช่ตัวตน เมื่อเรามีกำลังสมาธิ ได้ความสงบแล้วพิจารณา เราก็จะเห็นว่า ที่พระพุทธเจ้าสอนว่าให้พิจารณากายในกาย ภายใน กายนี้มีอะไรบ้าง กายข้างนอก กายบุคคลอื่น กายข้างใน กายของเรา กายของเราข้างนอก มีผมขนเล็บ ฟันหนัง ที่หุ้มห่อกายข้างในไว้มีอะไรบ้าง เราก็จะเห็นแล้ว เห็นว่ากายนี้ มันเปลี่ยนแปลง ไปตั้งแต่เกิดขึ้นมาเจริญวัยขึ้นมา ในที่สุดก็ตาย มันเป็นของไม่เที่ยง เมื่อเราเห็นว่าไม่เที่ยง เราก็เห็น ทุกขัง ว่ามันเป็นทุกข์ ไม่ใช่สุขจริงๆ สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นก็เป็นทุกข์ สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งนั้นก็ไม่มีตัวตนเพราะว่าเสื่อมไปๆ ในที่สุดก็แตกสลายไปหมด เป็นความว่าง ไม่มีตัวตน ของเราที่แท้จริง

อยู่ที่บ้านให้หมั่นภาวนา เมื่อเรากลับไปบ้านก็พยายามที่จะวางการงานเอาไว้ อย่าให้ตามไปที่บ้านเรา ให้ฝึกสติของเรา ด้วยการนั่งก็ดี สวดมนต์สั้นๆ แล้วก็ภาวนาให้สงบ ให้มีเวลาสำหรับตัวเราเอง ถ้าวันนี้เราไม่ได้นั่ง ไม่ได้ระวังรักษาจิต จิตของเราไม่มีกำลัง ก็จะถูกดึงไปแล้วก็หมดกำลัง เมื่อหมดกำลัง มีอารมณ์เข้ามา เราก็วุ่นวาย เราจะมานั่งก็ไม่สงบ มากๆ เข้าเราก็เบื่อหน่าย สติไม่มีสมาธิไม่เกิด ความสุขในการปฏิบัติไม่เกิดมันก็จะหมดกำลังใจ แต่ถ้าเรามุ่งมั่นแล้วว่า เสาร์อาทิตย์เรามีเวลา ที่จะปฏิบัติสักหนึ่งวัน หรือว่าสักครึ่งวัน ทุกวันก็พยายามนั่งสมาธิทุกวัน อย่างนี้จะช่วยได้มาก ก่อนที่อาตมาจะบวชก็เคย ปฏิบัติอย่างนี้แหละ พยายามนั่งสมาธิทุกวัน บางทีเลิกงานมาแล้ว สวดมนต์นั่งสมาธิ ใช้เวลาประมาณชั่วโมงหนึ่ง จิตก็ค่อยๆ สงบ บางครั้งจะรู้สึกว่าหายเหนื่อยเลย เราทำการงานมาใช้ความคิดมาเมื่อยล้า ร่างกายและสมองนี่ เหมือนกับเราได้พักเต็มที่ แต่เรา ต้องหมั่นฝึกทุกๆ วัน หมั่นฝึกทุกวัน พยายามรักษาจิตรักษาอารมณ์ของเราให้เป็นบุญกุศลอยู่เรื่อยๆ ถ้าเราทำอย่างนี้ การปฏิบัติของเราจะก้าวหน้า อาศัยการฟังธรรม อาศัยการอ่านธรรมะ จิตใจของเราจะดีจะงามขึ้นไป แล้วจะเกิดความสงบใจขึ้นไปทีละน้อย อันนี้อยู่ที่วาสนาบารมี และถ้าว่าเราถึงกาลถึงเวลาแล้ว ความสงบเกิดขึ้นปัญญาเกิดขึ้นในระดับหนึ่ง ใจก็จะมีความสุข

สักกายทิฏฐิมีลักษณะเหมือนลูกตะกร้อนั้นแหละ จิตของเราถูกร้อยรัด เอาไว้ ลูกตะกร้อร้อยรัดหลายเส้น 6 เส้น 7 เส้น มันสานเป็น ลูกตะกร้ออยู่

ปัญญา แก้ปัญหาให้รู้ในความไม่รู้ เราจะมีความสุขได้ เราต้องสร้างความดี ทาน ศีล ภาวนา ยิ่งการภาวนานั้นสำคัญ ที่จะแก้ ความทุกข์ในใจของเราได้ ถ้าใจของเราไม่มีสติปัญญาแล้ว เราจะมีทรัพย์สินเงินทองมากมาย แต่ใจ ก็ยังเป็นทุกข์อยู่ ยังไม่พ้นจากความทุกข์ เพราะว่าเราอยู่ในโลกของสมมุติ สมมุติว่ามีเรา มีเขา เมื่อสมมุติแล้ว จิตนี่มันหลงสมมุติไป หลงสมมุติไปจริงๆ ว่าเป็นจริงๆ เมื่อเราหลงสมมุติไปจริงๆ ก็เกิดตัว เกิดตนขึ้นมา เกิดเรา เกิดเขาขึ้นมา เพราะเราไปยึดถือขึ้นมา ก็เกิดความโลภ ความโกรธ ความหลง เกิดขึ้นมาเท่านั้นเอง แท้จริงแล้ว มันเป็นสมมุติขึ้นมาเท่านั้น เราต้องพิจารณา เห็นว่ารูปนามเป็นสมมุติ เห็นชัดอย่างนี้ก็ว่าวิมุติเกิดขึ้นมาแล้ว เราจะหลุดพ้นจากอุปาทาน ความยึดความถือ

เพราะฉะนั้นในเบื้องต้น เราต้องมีสติพิจารณาอยู่ เหมือนกับเรามีพ่อแม่ ตามดูเด็กไม่ให้รับอันตราย คอยดูคอยจับเอาไว้ จิตของเรานี้ก็เหมือนกัน มันจะไปจับ ไปยึด ไปถือ อารมณ์อะไรก็ตามไปดู ตามไปรู้ ตามไปพิจารณา ให้กลับเข้ามา อย่างวันนี้ เราต้องพยายามฝึกแล้วว่า การยืน เดิน นั่ง นอน มีสติ เราก็พูดน้อยที่สุดเลย พูดมากๆ มามากแล้วก็ยังไม่สงบ พูดน้อยๆ สามวันนี้อาจจะเริ่มสงบพอดี มันจะเริ่มสงบพอดี เราก็ไปทำต่อที่บ้านของเราอีก เราต้อง ภาวนาอย่างนี้เรื่อยไป เราศึกษามาแล้ว ศึกษาวิชาชีพทั้งหลายมาแล้ว แต่เราก็ต้องมาศึกษา ในพุทธศาสตร์ ศาสตร์แห่งความรู้ด้วย ไม่อย่างนั้นจิตมันจะหลงไปอย่างนี้แหละจนตายไป ถ้าเกิดทำกรรมดีไว้ กรรมดีก็ส่งผลให้ไปเกิดที่ดีที่สว่างก็ยังพอพักทุกข์ชั่วคราว ไปเป็นเทวดานี่ พักทุกข์ชั่วคราว กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกก็สร้างความดีต่อไปอีก จนจิตของเรามีวาสนาบารมีเต็มแล้ว จะได้รู้ธรรม เห็นธรรมในเบื้องต้น แล้วจะหมดจากกิเลสในสุดท้าย เมื่อพวกเราทำอย่างนี้ เรียกว่าการเกิดมาในชาตินี้ของเราก็ไม่เสียแล้ว

มองให้เห็น ปัญญาก็คือความรู้ รู้รอบเข้ามาในกองสังขาร จะเป็นเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ พิจารณาให้รู้รอบว่าเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นความว่างนั่นเอง ไม่มีตัวไม่มีตน ความว่าง ไม่มีเรา ไม่มีเขา ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขา มองรูปมองนามก็ให้เห็นเป็นความว่าง ความทุกข์จะเกิดขึ้นไม่ได้ เพราะปัญญาเราเกิดขึ้นมา ที่เราเป็นทุกข์อยู่นั้นก็เพราะว่า เราเห็นเป็นตัวเป็นตน เป็นสัตว์บุคคลเราเขา ก็เป็นทุกข์ขึ้นมา เพราะอุปาทานยึดถือนั้น

หลวงพ่อชาจึงเปรียบเทียบเหมือนกับมีเก้าอี้ตัวหนึ่ง เรานั่งอยู่ในบ้านนั้น ใครเข้ามาเราก็รู้จัก เข้ามานั่งในเก้าอี้ตัวนี้ไม่ได้ เมื่อจิตของเรามีความระมัดระวัง มีสติ ระมัดระวังอยู่ สมาธิตั้งมั่นอยู่ มีอารมณ์เข้ามา จะเข้ามาในจิตก็เข้ามาไม่ได้ สติรู้สึกระวัง ระลึกได้ สัมปชัญญะรู้ตัวอยู่ สมาธิตั้งมั่นอยู่ ปัญญาก็เกิด ถ้าอารมณ์อกุศลเกิดขึ้นก็เพียรละ ที่ยังไม่เกิดก็ไม่ให้เกิด อารมณ์กุศล เกิดขึ้นแล้วก็รักษาไว้ ทำให้เกิดขึ้น เราก็รู้จักในอารมณ์นั้น

เมื่อเราจะไปอยู่ที่ไหนก็ตาม อยู่ในที่ทำงานที่บ้านที่วัด เราก็รับรู้อารมณ์ทั้งนั้นแหละ จิตรับรู้ อารมณ์ก็ต้องมีสติ รู้สึกว่าเป็นอย่างไร จิตของเราขณะนี้เป็นอย่างไร มีสุขไหม มีทุกข์ไหม ปรุงแต่งไหม มีปัญญาให้รู้ว่ามันไม่เที่ยงไม่แน่ทั้งนั้น อารมณ์ชอบใจมาก็บอกว่าไม่แน่ อารมณ์ไม่ชอบใจมาก็บอกว่าไม่แน่ เราก็ยืนอยู่อย่างนี้ อารมณ์ของอนิจจัง ทุกขัง อนัตตานี้ เป็นอารมณ์ที่จะให้เกิดปัญญาขึ้นมา

ไม่มีอะไรเป็นของเรา หลวงพ่อชาท่านสอนว่า ข้อปฏิบัติที่ไม่ผิดคือข้อปฏิบัติที่ถูกต้องนั่นเอง เราเห็นธรรมมะ เราจะไม่เป็นทุกข์ การที่พวกเรานั้นสำรวม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เมื่อเรารับรู้ตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกดมกลิ่น ลิ้นสัมผัสรส กายจับต้องโผฏีพพะ ธรรมารมณ์ด้วยใจ หลวงพ่อชาท่านสอนว่า ให้เราพิจารณา สำรวม สิ่งทั้งหลายไม่เที่ยงทั้งนั้น จิตใจว่าอะไรที่เกิดขึ้นมาในจิตใจของเรานั้น ท่านก็ว่า เราภาวนาว่า ไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน /// เราก็อาศัยการปฏิบัติ การสำรวมระวังให้ดี อารมณ์เกิดขึ้นมา ก็ต้องระมัดระวังแล้ว

เมื่อเราฝึกจิต โดยใช้ปัญญาอบรมจิตของเรา โดยการพิจารณา จะเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้น เป็นความว่าง รูปนี้ก็ว่าง นามก็ว่าง เป็นแต่มีปัจจัยปรุงแต่งขึ้นมา ก็เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป แท้จริงแล้วหาตัวหาตนอะไรที่เป็นถาวรไม่ได้ ความรู้สึกที่เป็นสุขเกิดขึ้นมา เราก็เฝ้าดูว่า ความรู้สึกสุขนี้ก็ไม่แน่ไม่เที่ยง เมื่อจิตใจของเรา มีความรู้สึกที่ชัง ที่โกรธ ที่เกลียด ที่กลัว เกิดความทุกข์ขึ้นมาก็บอกว่า /// นี้เราก็ต้องมีสติรักษาใจของเรา อบรมใจของเรา คอยดูใจของเรา

///

พิจารณาถึงหลักความจริงทุกคนเหมือนกันหมด ร่างกายของเรา พระพุทธเจ้าก็จะเทศน์สอนว่า ร่างกายนี้มันเป็นทุกข์อย่างไรบ้าง นั่งนานๆ ก็ปวด ก็เมื่อย เป็นทุกข์ นอนนานๆ ก็เป็นทุกข์ เดินนานๆ ยืนนานๆ ก็เป็นทุกข์ นี่คือความจริง ถึงแม้ว่า เราจะประคบประหงมอย่างไร ดูแลให้ดีอย่างไรก็ตาม ความไม่สมดุลกันของร่างกาย ก็มีเปลี่ยนแปลงไป ในที่สุดก็มีความเจ็บมีโรคเกิดขึ้นมา คือใช้ไปนานๆ มันก็เสื่อมอวัยวะน้อยใหญ่ นี้เราใช้ไปนานๆ ก็เสื่อมขึ้นมา เกิดโรคเกิดภัยไข้เจ็บ เราก็ต้องรักษาไปให้มันตามสภาพ ในเมื่อร่างกายนี้มันแก่ไปเรื่อย เราใช้ร่างกายมานาน ใช้โครงสร้าง กระดูกมานาน ก็เป็นโรคกระดูก กระดูกเสื่อม สมองเสื่อม คนอายุ ๘๐ ปี สมองก็เสื่อม ความจำเสื่อม หัวใจ ไต ปอด ตับ ก็มีปัญหาขึ้น นี้เรียกว่าเป็นธรรมดาของร่างกายเป็นอย่างนี้

หลวงพ่อชาว่า เมื่อเราเข้าโรงพยาบาลก็ต้องการแต่ความหาย ความตายไม่ต้องการ เป็นไปไม่ได้ บางครั้งมันหายเราก็ต้องยอมรับ มันตายก็ต้องยอมรับ แล้วเมื่อมันเจ็บไข้ได้ป่วยมากๆ ไม่มียาอะไร รักษาได้ พลังจิตที่ไหนก็รักษาไม่ได้ บางครั้งชั่วคราวได้อยู่ บางครั้งก็รอดมาได้ แต่จะรักษาให้หายไป ไม่ตายเลยไม่มี หมอเองก็ต้องตายเหมือนกัน เห็นไหมหมอมีอายุ ๑๐๐ ปีมีกี่คน หมอมีวิชารักษาคนไข้ ได้ระดับหนึ่ง รักษาไม่ให้ตายไม่มีหรอก เมื่อเรามีตาก็มีโรคทางตา เรามีหัวใจ มีไต มีตับ มีปอด มีกระเพาะ มีลำไส้ อวัยวะน้อยใหญ่ เมื่อใช้ไปมากๆ แล้วโรคก็เกิดขึ้น เรามีตับเราก็มีโรคทางตับ มีแขน มีขา มีกระดูก ก็เป็นโรคกระดูก นี่ก็เรียกว่า เป็นธรรมดาของร่างกาย เมื่อมีร่างกายเกิดขึ้นมา พระพุทธเจ้าก็สอนว่า เมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว ความแก่ก็ตามมาด้วย ความเจ็บก็ตามมาด้วย และความตายก็ตามมาด้วยเหมือนกัน แต่ตอนเกิดนั้น เราก็จะมองไม่เห็นว่าความแก่ ความเจ็บ ความตายก็อยู่ในความเกิดนั้นเอง แต่เมื่อความแก่ มันปรากฏชัดขึ้น เราถึงจะมองเห็นได้แล้วว่า การเกิดนั้นเป็นเหตุ เป็นปัจจัย ให้เกิดความแก่ ให้เกิดความเจ็บ เมื่อมันแก่ไปมากๆ เจ็บไปมากๆ ก็เป็นธรรมดาว่ารูปร่างกายมันจะแตกสลายไป หรือสมมุติ ว่าเราตาย

อนัตตา ถ้าจะปฏิบัติให้เห็นอนัตตาในชีวิตประจำวัน อาจารย์จะแนะนำ มีอะไรที่จะพิจารณา วิธีที่จะทำ ก็ลมหายใจเข้าออกของเรานี้ ใช่ไหม หายใจเข้าเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วก็ดับไปอย่างนี้ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป หล่อเลี้ยงในชีวิตของเรา เราบังคับบัญชาในร่างกายนี้ไม่ได้ คือไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา คือไม่ใช่ตัวตน ร่างกายนี้เราบังคับไม่ได้ สิ่งใดที่เราบังคับไม่ได้ ไม่ใช่เราทั้งนั้น ร่างกายนี้ เขาก็ทำหน้าที่ของเขา เกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วก็ดับไป วัตถุสิ่งของภายนอกก็เหมือนกัน มันมี ความเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วก็ดับไป มันจะมีตัวตนที่แท้จริงนี้ไม่มี หรือแม้แต่นามในความรู้สึกของเรา เป็นสุขก็ดีเป็นทุกข์ก็ดี ที่ว่าเป็นเรานี้ มีความรู้สึกเกิดขึ้นมาแล้วตั้งอยู่ ก็ดับไปทั้งนั้นเลย เราสังเกต สติตามดูความรู้สึกของเรา มีความสุขมีความทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ก็เกิดขึ้นตั้งอยู่ เราก็จะได้ เห็นธรรมะ โอ้! มันมีลักษณะอย่างนี้ เมื่อได้อะไรมาแล้วเราถูกใจเราดีใจก็มีสติไว้ว่ามันไม่เที่ยง ? มันไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ไม่ใช่ของที่จะอยู่ตลอดไป เป็นทุกข์ใจก็ดี เราก็พิจารณามันไม่เที่ยง แต่ใน ชีวิตประจำวันเราก็จะประสบกับความรู้สึกเป็นสุขเป็นทุกข์ คือร่างกายนี้ เราก็ประสบอยู่แล้ว มันเปลี่ยนแปลงไป ตลอดจนสิ่งที่รอบตัวเราก็เหมือนกัน เมื่อเรามีสติรู้เท่าทันอย่างนี้ เมื่อมี ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเราก็จะได้ไม่ทุกข์

ถ้าเราใช้ปัญญาพิจารณาแล้ว จะเห็นได้ว่าหาความเป็นตัวตนตรงไหนไม่ได้ อย่างเช่นร่างกายนี้ มีอาการ ๓๒ รวมกันเข้ามา ถ้าเอาฟันมากองไว้ ถามฟันว่าเป็นเราไหม? เขาก็ไม่ตอบ เอาผมมา กองเอาไว้ ถามผมว่าเป็นเราไหม? เป็นสัตว์บุคคลตัวตนเราเขาไหม? เขาก็ไม่ตอบ เอากระดูก มากองเอาไว้ เขาก็ไม่ว่าเขาเป็นสัตว์บุคคลเป็นเราเป็นเขา จิตของเรานี้แหละเป็นคนไปยึดถือปรุงแต่ง และก็หลงในสมมุติ เมื่อหลงในสมมุติ จึงเกิดสัตว์บุคคลตัวตนเราเขาขึ้นมา เกิดความโกรธ เกิดความโลภหลงเกิดขึ้นมา เพราะจิตเราไปหลงสมมุตินั่นเอง การที่เรามาพิจารณานี้ เพื่อให้จิต ของเราไม่หลงสมมุติ ให้รู้ตามความเป็นจริง ให้มีปัญญาว่าธาตุทั้ง ๔ มารวมกันชั่วคราว ในที่สุดก็แตกสลาย หาความเป็นสัตว์บุคคลตัวตนเราเขาไม่ได้ เป็นอนัตตา นี่เรียกว่าเรานั้นเห็นตน เห็นตนร่างกายธาตุ ๔ ว่าไม่ใช่ตน ถ้าเราเห็นตนนี้ว่าไม่ใช่ตน เรียกว่าคนเห็นตนเห็นตนที่แท้จริง ว่าไม่มี เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นวิมุติหลุดพ้นขึ้นมาในใจ

ที่สุดของการยึดติด ปัญญานี้ มันจะคิดให้มันเข้าใจแจ่มแจ้งเลยไม่ได้ เรื่องของญาณก็ดี เรื่องของมรรคผลก็ดี เราจะใช้ ปัญญาความคิดของเราให้เข้าใจแจ่มชัดไม่ได้ ต้องอยู่ที่การปฏิบัติเมื่อเรารู้จักว่าขณะนี้ ภาวะจิต ของเรา นี้มันร้อน หรือมีความทุกข์ เพราะมีอุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่น เมื่ออุปาทานมันน้อยลง ความร้อนมันน้อยลง อุปาทานในรูปในนาม เมื่อมันน้อยลงไป ใจมันจะเย็นลง มีความเย็นขึ้น ใจมีความสงบขึ้น ใจมีความว่างมากขึ้นทีละน้อยละน้อยละน้อย แล้วใครเป็นคนรู้ว่าใจว่าง ก็ผู้รู้ นั้นเอง เหมือนกับเราตอนนี้ ใครเป็นคนยึด ใครเป็นคนที่มีความยึดถืออุปาทาน ก็คือคนที่หลง ใจที่หลง ใจที่หลงเป็นคนที่ไปยึดอุปาทาน เมื่อเราปฏิบัติ ใจเรามันก็สร้างความรู้ขึ้นมา ถ้าผู้รู้ตรงนี้ รู้จักก็ไม่ยึดถือ ไม่ยึดถือแล้วก็ปล่อยวางทีละน้อย ความร้อนหายไปความเย็นปรากฏขึ้น และผู้รู้นี้ แม้จะรู้มากมายแล้ว พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า พระองค์รู้มากมายแล้วพระองค์เองก็ปล่อยวางด้วย ไม่ยึดถือเอาว่าท่านเป็นคนรู้อีกทีหนึ่ง ใจก็จะว่างหมด ก็จะมีความเย็น มีความสงบ มีความสว่าง เราทำอะไรก็ตาม ทำแล้วเราก็วาง อย่าว่าเป็นเราทำ เราได้สมาธิดีๆ เราก็วางอีก อย่าไปยึดว่า สมาธิเป็นของเรา ทุกอย่างก็คือเรามีความรู้แล้วเราก็วางด้วย วางปัญญา ตรงนั้นด้วย ถ้าเรายึด ในความรู้อีกก็จะเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ถ้าเราวางได้หมดทุกอย่างมันก็ไม่มีทุกข์ในใจ

ภาวนาก็เหมือนกับไม้ท่อนเดียว วิปัสสนาอยู่ปลายท่อนทางนี้สมถะ อยู่ปลายท่อนทางนั้น ถ้าเรายกไม้ท่อนนี้ขึ้น ปลายท่อนไม้จะขึ้น ข้างเดียวหรือทั้งสองข้าง ถ้ายกไม้ท่อนนี้ขึ้น ปลายทั้งสองก็จะขึ้นด้วย