สิ่งที่สำคัญที่สุด หลวงปู่ชาก็ยกตัวอย่างเหมือนกันว่า คนที่ไม่รู้ สอนให้รู้ได้ มันก็จะปฏิบัติไปได้ แต่คนรู้แล้ว ไปทํา นี่ลำบาก เหมือนว่าความหลงนั้น ถ้าหลงในความรู้ของเรา หลงยึดหลงถือในความรู้ของเราอีก ก็จะไม่ได้ไปถึงที่สุดแห่งความทุกข์ ก็ต้องปล่อยวางในความรู้ด้วย ความปล่อยวางนี้สำคัญ เมื่อพวกเรามาปฏิบัติภาวนา มีศีล มีข้อวัตรอย่างเคร่งครัดก็ตาม ก็ไม่ไปเอาข่มคนอื่น ว่าเรา ดีกว่าคนอื่น เราเสมอกว่า เราต่ำกว่า เรามีศีลเรามีสมาธิ ก็ไม่ไปมีทิฏฐิมานะ เรามีปัญญาก็ถอน ทิฏฐิมานะออกอีก อันนี้เป็นสิ่งที่สำคัญ คือกระทำด้วยความปล่อยวางในจิตใจ ปฏิบัติไปด้วย ความปล่อยวาง ให้เราพิจารณาอย่างนี้อยู่เสมอ แล้วปัญญาของเราจะเกิดขึ้นมา

ปล่อยวาง มีโยมคนหนึ่ง มีความทุกข์มากเลย อัศจรรย์เหมือนกัน หลวงพ่อชาท่านก็เทศน์ท่านมี กระป๋องอยู่ใบหนึ่ง หนักอยู่ ก็ส่งให้โยมถือไว้ โยมคนนั้น ก็ถือให้หลวงพ่อ หลวงพ่อชา ก็พูดเรื่องนั้นเรื่องนี้ พูดเรื่องอื่นไปชวนคุยไป เขาก็เพลินไป แล้วคงจะลืมเรื่องที่หนักใจ หนักอยู่ในใจ คือความทุกข์อันนี้ หลวงพ่อก็จึงพูดว่า เอ้า! ถืออยู่ตั้งนานไม่หนักหรือ เขาก็บอกว่าหนัก ท่านถาม หนักทำไมไม่วาง เขาจึง วางถังนั้นลง พร้อมกับวางความรู้สึก ในอารมณ์ลงไปด้วย จึงเกิดความว่างขึ้นเลย ท่านเทศน์เช่นนี้ ท่านถามถึงความหนักของถังใบนั้น พอวางแล้ว จึงเบาทั้งกาย เบาทั้งใจ เกิดความว่างขึ้นเพราะความวาง ความปล่อยวางนั้นเองสำคัญกว่า ความยึดมั่นถือมั่นก็เป็นทุกข์

ไม่ตามโลก หลวงพ่อชาท่านสอนว่า ให้เราพิจารณา สำรวม สิ่งทั้งหลายไม่เที่ยงทั้งนั้น เขาว่าเรา เขานินทาเราก็ไม่เที่ยง เราได้ยินแล้วก็ปล่อยไป เขาสรรเสริญเรา จะรู้สึกอย่างไร ให้เห็นว่า สรรเสริญกับนินทา ก็มีราคาเท่ากัน มีน้ำหนักเท่ากัน อันนี้เราเห็นว่าทองคำห้ากิโลมันมีค่ามาก ก้อนหินห้ากิโลมันมีค่าน้อย จิตก็มาเห็นแบบนี้ ถ้าให้เราเลือก เราก็เลือกเอาทองคำห้ากิโล มีราคา ก้อนหินห้ากิโลไม่มีราคา ถ้าทองคำห้ากิโลมันหนัก ให้เราแบกไปถือไปเราก็พยายามแล้ว เพราะว่าชอบใจ แต่ว่าก้อนหินห้ากิโลไม่เอาแล้ว จะยกขึ้นมาก็ไม่เอาแล้ว เพราะอะไร เพราะว่าเห็นว่า มันไม่มีราคา แต่ถ้าเราปฏิบัติ เราก็มองเห็นมันเท่ากันนะ น้ำหนักเท่ากัน ห้ากิโลนี่หนักเท่ากัน ก็ไปยึดไปถือให้มันหนัก อารมณ์ทั้งหลายก็เหมือนกัน ที่เข้ามา นินทาก็ดี สรรเสริญก็ดี ก็มองว่ามันเท่ากัน ฉะนั้น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็ดูที่จิตใจของเรา เช่นนี้ ตามรักษาจิตของเรา อยู่เสมอ เราก็จะไม่ทุกข์เลย เพราะคนอยู่ในโลก เกิดมาในโลก ต้องพบกับโลกธรรม มีลาภ ก็เสื่อมลาภ มียศก็เสื่อมยศ มีสรรเสริญก็มีนินทา มีสุขก็มีทุกข์ ก็เป็นโลก พระโมฆราชก็เห็นว่าโลกนี้ เป็นความว่าง มัจจุราชก็ตามไม่ทัน ท่านก็ไม่ทุกข์เลย พวกเราให้หมั่นฝึกฝนอบรม พิจารณา จิตของเรา ไม่ให้ไปยึดในโลกธรรม ไม่ให้ไปยึดในที่เรารับรู้แล้ว ก็ปล่อยวาง สำคัญที่สุดก็คือ ความปล่อยวาง เราก็ไม่หนัก เราถือทองคำไว้ห้ากิโล ไม่ปล่อยก็หนัก ก้อนหินถืออยู่ก็หนักเท่ากัน เราก็ต้องปล่อยวาง

เหนือทุกสิ่ง เมื่อลาภยศสรรเสริญสุขนั้นมันไม่มี สิ่งตรงกันข้าม คือเสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ทำให้ ความทุกข์ใจ เกิดขึ้นมา เรียกว่าปัญญาก็ไม่เกิด เพราะฉะนั้นเราจะมาฝึกหัด ให้ใจของเรารู้ซึ่งโลกธรรม อยู่เหนือโลกธรรมนี้ เราจะต้องมาทำใจให้เกิดสมาธิ ต้องมีความเพียร มีความพยายามแม้ว่า คนในโลกนี้ คนหลงนั้นมีมากกว่าคนที่รู้ แต่ถ้าเราปฏิบัติตามธรรมะขององค์สมเด็จพระบรมครูแล้ว ใจของเรานั้นก็จะรู้ แล้วก็ไม่หลง ใจของเรารู้อะไร ไม่หลงอะไร ใจของเรารู้ซึ่งความเป็นจริง และก็ไม่หลงไปในโลก เพราะโลกนี้ ก็คืออารมณ์ คนหลงอารมณ์ ก็คือคนหลงโลก ถ้าเราหลงไป ตามอารมณ์แล้ว ใจของเรา มันก็เป็นทุกข์ เดือดร้อนวุ่นวาย แต่ถ้าเรารู้อารมณ์ตามความเป็นจริงแล้ว ใจของเรามันก็อยู่เหนือโลก เหนืออารมณ์ มันก็เบา เพราะใจของเราไม่ได้ไปยึดมั่นถือมั่นในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

ฉะนั้น พวกเรามาพบพานกับพระธรรม อันเป็นคำสอนขององค์สมเด็จพระศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้ว ก็ต้องพากันปฏิบัติ พยายามปฏิบัติ ซึ่งพระองค์ก็สอนให้เรารู้จักการให้ทานอันเป็นเบื้องต้น เมื่อเรามีการให้ทาน การเสียสละเป็นประจำมีการทำบุญใส่บาตรก็ดี การที่เราบริจาคทานของเรา ไปก็ดี หรือการให้อภัยทานก็เป็นทานอันสูงสุด ไม่โกรธใคร ไม่พยาบาทใคร ไม่ปองร้ายใคร เมื่อเรามาฝึกหัดจิตของเรา เราก็มีความรู้ขึ้นมาว่าจิตที่หลงไปในอารมณ์นั้นมันเป็นทุกข์ มันเวียนว่าย ตายเกิดในวัฏฏะสงสาร ไม่สามารถพบพานความสงบที่แท้จริงได้ แต่จิตที่อยู่เหนือโลกเหนืออารมณ์ จิตที่มีความรู้ตามความเป็นจริง เห็นธรรมะ ค่าสอนของพระพุทธเจ้า จิตนั้นจะพ้นจากความ ทุกข์ได้

เริ่มปฏิบัติตั้งแต่วันนี้ เมื่อเราเห็นอย่างนี้ก็ต้องมีความเพียร มองเห็นสิ่งที่สำคัญ เหมือนพวกเราได้ศึกษาเล่าเรียนหนังสือนั้น ก็เห็นว่าเป็นของที่สำคัญ เพราะเมื่อเรามีวิชา มีปัญญา ก็สามารถแสวงหาทรัพย์ในโลกนี้ แสวงหา ปัจจัยสี่มาเลี้ยงชีวิตและครอบครัวของเราได้ เราก็เห็นประโยชน์ ก็มีความเพียรมีความตั้งใจ แต่บุคคล จำนวนมากไม่เห็นประโยชน์ ละเลยในการศึกษาเล่าเรียน ก็อาจจะพลาดพลั้งไป ไม่สามารถที่จะ มีกำลังสติปัญญาแสวงหาทรัพย์มาได้ แต่อย่างไรก็ดี อันนั้นก็เป็นทรัพย์ซึ่งเป็นของภายนอก เป็นของจ่าเป็นในชีวิตของเราก็จริงอยู่ แต่ทรัพย์ภายในที่องค์สมเด็จพระบรมครูทรงให้เรานั้นแสวงหา ก็คืออริยทรัพย์ อริยทรัพย์คือทรัพย์ที่ห่างไกลจากข้าศึก แม้ว่าน้ำนั้นจะท่วมมา ไฟจะไหม้ ลมพายุจะพัดมาให้ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมันหวั่นไหวไป เกิดอัคคีภัย เกิดวาตภัย หรือมีโจรภัยร้ายแรง ก็ไม่สามารถที่มาทำลายซึ่งอริยทรัพย์ของเราได้ เพราะอริยทรัพย์นี้มันอยู่ในใจ ไม่มีใครที่มาทำลาย หรือขโมยไปได้ จึงเป็นทรัพย์ที่ห่างไกลจากข้าศึกที่จะมาทำลายล้าง ทรัพย์นี้จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ มีการให้ทาน การสมาทานศีล การฟังธรรมและ การปฏิบัติสมาธิ ก็ดีอันนี้เป็นทรัพย์ภายใน เมื่อเราสั่งสมซึ่งทรัพย์ภายในของเรานั้นให้มีมากขึ้น องค์สมเด็จภควันก็ตรัสว่า บุคคลนี้ เป็นผู้ ที่มีปัญญา มีศรัทธา มีความเชื่อ มีความเลื่อมใส ถือซึ่งพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ เป็นสรณะที่พึ่ง เขาเป็นผู้ที่มีทรัพย์อันประเสริฐ แม้ทรัพย์ภายนอกจะมีมากมาย แต่เขาก็ใช้ด้วยความมีสติปัญญา หรือทรัพย์ภายนอกนั้นไม่มีมากมายอะไร แต่ทรัพย์ภายในนี้มีมากมายมหาศาล ก็จะต้องตั้งใจปฏิบัติ ขณะแห่งการปฏิบัติ คือ ขณะแห่งการตรัสรู้

กรรมของตน เรามีกรรมเป็นของๆ ตน กรรมเป็นผู้ให้ผล กรรมเป็นที่ติดตาม กรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เราทำกรรมใดไว้ ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม เราก็ต้องได้รับ ผลของกรรมนั้นสืบไป กรรมก็คือการกระทำ ทางกายวาจาใจ ที่ดีบ้างไม่ดีบ้าง ที่ผ่านมาแล้ว ที่ผ่านมาแล้วนี้จนนับภพนับชาติไม่ถ้วน เพราะฉะนั้นเราเคยเกิด ก็เกิดมามาก เกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นสัตว์ เกิดเป็นเทวดา หรือตกนรกไปจิตมันก็ท่องเที่ยวไป ตามกรรม กรรมให้ผลก็มาเป็นมนุษย์เป็นเทวดา กรรมสูงขึ้นไปก็เป็นพรหม หมดบุญก็ลงไปเรื่อยๆ พอกรรมไม่ดีให้ผล พอเกิดโลภโกรธหลงก็ลงไปอบายภูมิ ทีนี้ในสิ่งที่เป็นอดีตชาติมันมาก ถ้าถามว่าเราเคยเกิดเป็นอะไร เราเกิดมาทั้งนั้น

เรื่องภพชาติว่าโยมเชื่อเรื่องนี้จริงหรือเปล่า ตายแล้วเกิด ตายแล้วสูญ ในสมัยพุทธกาลก็มีความเห็นอย่างนั้นแหละ ตายแล้วก็สูญไป หรือว่า ตายแล้วเกิดเป็นยังไง ก็เกิดเป็นอย่างนั้น พุทธศาสนามาเกิดขึ้น ก็มาสอนว่าเป็นไปตามกรรม เป็นไปตามกรรม ผู้ที่เชื่อว่าตายแล้วก็สูญเปล่าไปเลยอย่างนี้ ก็ไม่สนใจในศีลธรรม ปัญหานี้ก็มี ผู้ที่เค้าเคยถามหลวงพ่อชา เราก็ยกตัวอย่างอย่างว่าปัจจุบันนี้ก็ได้นะว่า ถ้าเราสร้างความดีกันใน ปัจจุบันนี้ ทุกๆ คนสร้างความดี ทุกๆ คนไม่เบียดเบียนกัน ก็จะมีความสุขอยู่ในปัจจุบันนี้แหละ แล้วก็เป็นกรรมที่ดีด้วย ถ้ามีภพชาติไปข้างหน้าอีก กรรมดีส่งผลไปก็จะได้รับความสุข มีความสุข แต่ถ้าเราไม่เชื่อในเรื่องตายแล้วเกิด ว่าชาติหน้ามีจริง และปัจจุบันนี้เมื่อไม่เชื่ออย่างงั้นแล้ว ก็สร้างแต่กรรมไม่ดี ทุกคนไม่มีศีลธรรม ก็จะมีความทุกข์กันอยู่ในปัจจุบันนี้เอง แล้วก็เมื่อตายไปแล้วอีก ถ้าชาติหน้ามี ก็วิบากกรรมที่เราทำไปอีก ก็จะตามไป

จะสอนให้อยู่ในปัจจุบันนี้ก็ได้ ดูปัจจุบันให้เชื่อจริงๆ ไปชาติหน้า ก็ค่อนข้างจะเชื่อได้ยาก พิสูจน์ได้ยาก มีพิสูจน์ได้ก็ต้องมาเจริญสมาธิ มาปฏิบัติ ซึ่งก็คงเวลาไม่พอ จะตายเสียก่อน ก่อนจะรู้ ว่ามีจริงๆอย่างนี้ ไม่พอหรอก จะสอนในปัจจุบันนี้แหละ บางทีก็สุขทุกข์เกิดที่ใจ สวรรค์นรกอยู่ที่ใจ พรหมอยู่ที่ใจ นิพพานอยู่ที่ใจ ถ้าใจไม่มีศีลธรรมก็เป็นทุกข์ ใจมีศีลธรรมก็มีสุข มีความเห็นแก่ตัว ก็เป็นทุกข์ คนที่มีความดีก็มีความสุข คนที่มีศีลธรรมมีสมาธิ ก็มีความสุขขึ้นไป ตามระดับ ก็จะพิสูจน์ได้ตรงนี้ เห็นตรงนี้แล้วเค้าก็จะสร้างความดี ละความชั่ว เอาในปัจจุบันนี้เป็นหลัก

กรรมคือการกระทำ เกิดมาก็มีแล้วคือกรรม กรรมคือการกระทำ ทางกาย วาจา ใจ ที่ดีบ้างไม่ดีบ้างพระพุทธเจ้าก็ จะตรัสในเรื่องของกรรม เรียกว่า กรรมวัฏฏ วิปากวัฏฏ แล้วกิเลสวัฏฏ ในเรื่องของกิเลส กรรม และก็วิบาก ถึงเมื่อเราได้ทำกรรมสิ่งใดสิ่งหนึ่งลงไป และก็จะมีวิบากของกรรมปรากฏขึ้น เราทำกรรมทางกาย วาจา ใจ ที่ดี เป็นฝ่ายกุศล อยู่ในกุศลกรรมสิบประการเป็นฝ่ายกุศลแล้ว ก็มีวิบากที่ดีอยู่ในใจ วิบากกรรมที่ดีนี้ ก็จะส่งผลให้เราได้สร้างความดีต่อไปอีก ถึงจะเป็นกิเลสอยู่ ก็ยังเป็นกิเลสฝ่ายที่ดี ฝ่ายขาว แต่ถ้าเกิดเราได้ทำกรรมฝ่ายอกุศลมีการล่วงละเมิดในศีล ๕ ไปแล้ว ถ้าถือว่าความเห็นที่เราเห็นผิด มีความโกรธ ความพยาบาทมุ่งร้ายปองร้าย มุ่งทรัพย์ของคนอื่น เขามาเป็นของเรา อย่างนี้เป็นต้น ก็เรียกว่าเป็นกรรมฝ่ายอกุศล เมื่อเราทำไปทางกาย วาจา หรือทางใจ ก็จะเกิดวิบากฝ่ายอกุศลขึ้นมา

เราต้องมาฝึก ให้จิตของเรานี้มีธรรมะเกิดขึ้นมาในเบื้องต้น ในขั้นของศีล ก็คือขันติธรรมนั่นเอง ยังมีความอยากอยู่ ๕ ประการ ครบทุกอย่างแต่มีความอดไว้ อดทนไว้ ไม่ทำ บางครั้งคนนี้ไม่ชอบเลย อยากจะตี อยากจะว่า อยากจะฆ่าแกง อะไรก็ตาม ไม่ทำ เห็นทรัพย์คนอื่นเขามากมาย อยากจะขโมย เหมือนกัน ไม่ทำ เห็นของรักของคนอื่นเขา ก็ไม่ทำ ไม่เอามาเป็นของเรา พูดแต่ความจริง สติของเราดีอยู่แล้ว ก็ไม่ทำให้สติของเราเสียไป ข้อสุราเมระยะจึงสำคัญทีเดียว ตายกันมาก ก็เพราะข้อสุราเมระยะ ตกน้ำตาย ขับรถชนกันตายมากมายเลย

ยิ่งไม่รู้ก็ยิ่งหลง ศีลไม่สมบูรณ์ไม่ใช่ข้อสามเท่านั้นนะ ทุกๆ ข้อนั้นหลักธรรมชาติมันก็ผิดของหลักความเป็นจริง อยู่แล้ว อันนั้นก็คือเป็นความรู้สึกของเขาที่ไม่รู้ ยิ่งไม่รู้ก็ยิ่งจะหลงเข้าไปมาก เป็นมากขึ้น มันก็จะเป็นวิบากกรรมที่กันไม่ให้จิตสงบเป็นเอกัคคตาจิตได้ ต้องสมบูรณ์ด้วยกายวาจา และก็ สมบูรณ์ด้วยใจ ถึงจะพัฒนาจิตของเราให้เหนือโลกได้ ที่นี้จิตของเราปกติอยู่ในโลก มีโลภมีโกรธ มีหลงอยู่ในศีลก็ยังจะเจริญซึ่งจิตให้นิ่งที่ยังยากและถ้าจิตของเรามีกำลังอ่อน อ่อนเกินไป มัวเมา เกินไป ยิ่งจะทำให้จิตสงบก็ยาก มันจะยากกว่าธรรมดาเสียอีก เพราะดังนั้นจึงต้องมีศีลซะก่อน ถึงจะมาทำสมาธิ ถึงจะเกิดหรือมีสมาธิ พิจารณาเห็นโทษของความไม่มีศีล ก็มีศีล มันก็จะเป็น ศีล สมาธิ ปัญญา

ค่าถามเกี่ยวกับการจัดการสัตว์ในครัวเรือน ควรจะจัดการกับพวกสัตว์ แมลงที่เข้ามาในบ้านยังไงดี เวลาจะทำ ความสะอาดก็กลัวว่าจะผิดศีลข้อ ๑ รากฐานของความเป็นมนุษย์ที่จะให้เกิดความมั่นคงในชีวิต ก็คือศีล ๕ เมื่อจิตใจของเราเป็นจิตใจที่มีศีล จิตใจของเราเป็นจิตใจที่มีเมตตาอยู่เสมอในใจแล้ว ก็ช่วยเท่าที่จะช่วยได้ ก็น่าจะใช้วิธีการจับ การจับนำไปปล่อย น่าจะดีกว่า ก็เป็นวิธีที่ ก็เอาสัตว์นั้นออกจากที่นั่นได้เหมือนกัน แต่ไม่ต้องทำลายชีวิต มันก็ต้องมีบ้างโยม สัตว์ตายไปบ้างโดยที่เราไม่มีเจตนานะ บางทีเรากวาดๆไป พวกมดดำมดแดง ก็ตายบ้าง ทีนี้เราขับรถขับราไป ก็มีแมลงมีอะไร ก็ตายบ้าง ถ้าเราไม่ทำอะไรเลยก็คงจะไม่ได้ใช่ไหม เราจุดไฟไว้ จุดเทียน แมลงบินมาตายก็มี อะไรทำนองนี้แหละ ก็ถือว่าก็เป็นกรรมของสัตว์เค้า เราก็ไม่มีเจตนาที่จะทำให้ตาย เราเลี่ยงได้เราก็เลี่ยง สุดวิสัยก็ต้องเป็นกรรมของเขาก็ต้องมีอย่างนี้แหละ ก็พิจารณาไป ตามฐานะโยม ตามฐานะใช่ไหม ตามฐานะความเป็นอยู่ของเรา หน้าที่ของเรา อาชีพของเรา ต้องพิจารณาแล้วทำให้เหมาะสมกันดี บางอย่างที่ว่าพิจารณาไม่ให้ฆ่าสัตว์ ก็ตั้งแต่สัตว์ใหญ่มาเรื่อยๆลงไป เราก็คงไม่ได้ทำ มันก็เหลือสิ่งที่ต้องมาข้องเกี่ยวกันทำให้เกิด ความไม่สะอาดเกิดความรำคาญก็ดี ก็พิจารณาหาอุบายวิธี ถ้าช่วยมันไม่ได้ก็เป็นกรรมของสัตว์ สัพเพสัตตา สัตว์ทั้งนั้น เป็นไปตามกรรมอย่างนี้ เราจะช่วยอะไรมากก็ไม่ได้ ช่วยทั้งหมดก็ไม่ได้เอาที่ทำได้

ชีวิตที่เหลืออยู่ มีพระองค์หนึ่ง ท่านก็ลอยคออยู่ในทะเลนั่นน่ะ ๓ คืน ๓ วัน ไม้กระดานแผ่นเดียวท่านก็ ตั้งจิตอย่างเนี่ยแหละ ว่ารอดตายไปเนี่ย ท่านก็จะบวช ทุกวันนี้ก็ยังบวชอยู่นะ ได้ ๑๐ กว่า พรรษาแล้ว ตั้งใจจะบวชไม่สึกด้วย เพราะมันเหมือนกับว่า ชีวิตมันล่องลอยอยู่อย่างนี้ มันยังไง ก็ตายแน่นอน มาถึงคราวคับขันอย่างนี้ก็ตั้งจิตอธิษฐาน ก็รอดชีวิตมาได้ ก็คงจะเป็นเรื่องของบุญ ของการตั้งจิตตั้งใจในการสร้างความดีนี่ก็ให้ผล อันนี้ก็เป็นเรื่องของกรรมดีให้ผล เพราะฉะนั้น พวกเรา ตอนนี้ก็ยังไม่ถึงในขั้นวิกฤตอย่างนั้น เราก็ตั้งใจว่าทุกวันเราจะสร้างความดี ในวันนี้ เรายังมีชีวิตอยู่ เราก็จะละบาป บาปอันไหนเราไม่ทำ เราก็ไม่แน่ว่าวันนี้เราจะตายหรือเปล่า เราก็จะสร้างความดี ถ้ากรรมให้ผลจริงๆ เราจะต้องตายจริงๆ เราก็ทำกรรมดีไว้พร้อมแล้ว เราจะมีความอบอุ่นใจว่า ถึงร่างกายนี้จะตายไป จิตไม่ตาย จิตจะไปเกิดใหม่ที่ดีแน่นอน

ทุกข์นี้มันทุกข์เพราะความคิดเห็นของเรา ที่ไม่ยอมรับนับถือกฎของธรรมชาติ คือความเป็นจริงว่ากฎธรรมชาติความเป็นจริงว่าเมื่อมีความเกิดขึ้นมาแล้ว ตั้งอยู่ แล้วก็ต้องแตกสลายไปเป็นธรรมดา