ภาวนามยปัญญา กาฝากในวงพุทธศาสนาจริงหรือ ?
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
ให้บรรดาพี่น้องทั้งหลายได้ทราบเอาไว้ เรื่องระหว่าง
ธรรมกับอธรรม หรือความชั่วกับความดีที่มันผลักมันดันมันต่อ
สู้กันนี้ เราไม่ทราบได้ง่าย ๆ นะ คือเรื่องของกิเลสนี้เราไม่ได้
สังเกตว่ามันเป็นเหมือนกับถนนเป็นคลื่น มีสูงมีต่ำเป็นหลุมเป็น
บ่อก็มี เป็นเรียบ ๆ ธรรมดาก็มี เป็นเหมือนเราขึ้นเขาก็มี แต่
ยังไงก็ตามเถอะ ถ้าเป็นเรื่องของกิเลสแล้ว ขึ้นเขาก็พอใจปืน
ไม่ถอยง่าย ๆ หรอกนะ คำว่าขี้เกียจเพราะเห็นโทษของกิเลส
มาหลอกต้มเราให้ขึ้นเขานี้ไม่มี มีแต่ปืนตะพึดตะพือ ถ้าลงว่า
กิเลสมาบอกให้ลงหลุมก็ลง ลงบ่อก็ลง ให้ปืนก็ปืน ให้ล้มก็ล้ม
แล้วลุกใหม่ นั่นเรื่องของกิเลสมันแหลมคมเอามาก ๆ เราเคย
พูดเสมอ นี้ถอดออกมาจากพระทัยของพระพุทธเจ้านะ ถึง
เราไม่รู้ก็ตามเราก็เรียนธรรมะพระพุทธเจ้า แล้วถอดออกมา
จากดวงพระทัยพระพุทธเจ้ามาสอนท่านทั้งหลาย ถึงบอกว่า
กิเลสนี้ละเอียดมากจริง ๆ นะ
จึงได้พูดว่าอัศจรรย์พระพุทธเจ้าที่อุบัติขึ้นมาได้โดยลำพัง
ไม่มีใครบอกใครแนะเลย นี้อัศจรรย์จริง ๆ ไม่ใช่ธรรมดานะ
เราอัศจรรย์อย่างถึงใจจริง ๆ โดยไม่มีใครบอกไม่มีใครแนะ
พระองค์เลย สามารถผุดขึ้นมาได้ในท่ามกลางแห่งความหนา
ของกิเลสในสามไตรโลกธาตุ สามไตรโลกธาตุหนาขนาดไหน
ที่ปิดสัตว์ทั้งหลายไว้ สามแดนโลกธาตุคือ กามโลก รูปโลก
อรูปโลก หรือกามภพ รูปภพ อรูปภพ นี้เป็นที่อยู่ของสัตว์ทั้ง
หลายที่กิเลสครอบเอาไว้ หนาขนาดนั้นละ พอพ้นจากนี้ก็ติด
อันนี้ พ้นจากชั้นนี้ก็ไปติดชั้นนี้ พ้นจากนี้ก็ไปติดชั้นนี้ พ้นจาก
ภพนี้ก็ไปติดภพนั้น พ้นจากภพนั้นก็ไปติดภพนี้อยู่อย่างนี้ตลอด
มา นับไม่ได้นะว่าเท่านั้นกัปเท่านี้กัลป์ นานขนาดไหนฟังซิ
สัตวโลกเคยเป็นมาอย่างนี้
จิตดวงนี้ก็ผิดก็พลาดของมันอยู่ตลอดมาอย่างนี้แหละ
ผิดพลาด ๆ อยู่เรื่อย ๆ แล้วก็ไม่มีทางที่จะเห็นโทษได้ เพราะ
วิชาปิดบังที่ไม่ให้เห็นโทษของกิเลสมีอีก มันมีทุกอย่าง วิชา
ของมันรอบตัว ๆ แล้วอยู่ ๆ ไม่คาดไม่ฝันพระพุทธเจ้าก็ผุดขึ้น
มา ถึงได้ประกาศธรรมให้เห็นโทษของมันว่าเป็นยังไง ๆ พูด
ง่าย ๆ ก็คือเอาพระองค์เป็นตัวประกันว่า ความล่มจมในวัฏสงสาร
เราเป็นมามากและนานแสนนานแล้ว เหมือนกับว่าเอาพระองค์
เป็นตัวประกันเลยทีเดียว ว่าเชื่อตถาคตเถิด ตถาคตจะไม่พา
ท่านทั้งหลายให้ล่มจมนะ ตถาคตได้ตรัสรู้สิ้นจากกิเลสด้วย
ได้เป็นพระพุทธเจ้าด้วย ความเป็นพระพุทธเจ้านี้ได้ทำความ
ปรารถนามานานสักเท่าไร บารมีจนเต็มภูมิแล้วจึงได้ผุดขึ้นมา
เป็นพระพุทธเจ้า ความเป็นพระพุทธเจ้าก็ดี ต้นเหตุที่จะได้เป็น
พระพุทธเจ้าคือความปรารถนาของเราตถาคตก็ดี ไม่ใช่ความ
ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าด้วยบารมีที่จะมาหลอกลวงโลกนะ พูด
ง่าย ๆ ว่าอย่างนั้น ให้เชื่อเถิด ตถาคตเจอเองทุกอย่าง ทั้งดีทั้ง
ชั่วทั้งผิดทั้งถูกทั้งความทุกข์มากทุกข์น้อย ตถาคตเป็นตัวประกัน
ให้เห็นทุกอย่างบรรดาสิ่งที่มีในโลกสมมุติทั้งหลาย เอ้า เชื่อเถิด
เหมือนอย่างนั้นนะ ธรรมพระพุทธเจ้าเป็นการท้าทายอย่างนี้
ว่าเชื่อเถิด ธรรมนี้ไม่ผิด ให้เดินตามนี้เถิดไม่ผิด บอกอย่างนั้น
เลย ลำดับต่อมาก็คือว่าพระสาวกก็พระองค์แนะแล้วจึงค่อยรู้
นอกนั้นไม่รู้นะ เมื่อพระองค์ได้แนะแล้วก็ค่อยรู้ ๆ ค่อยรู้ตาม
เรื่อย ๆ ๆ มา
ที่นี่ที่ว่ากิเลสมีความละเอียดแหลมคม มีร้อยสันพันคมนั้นก็
คือว่ามันมีทุกอย่างที่จะปิด ๆ ไม่ให้เราเห็นโทษ ๆ ๆ คิดดูอย่าง
ที่ว่าข้างต้นนั้น ถ้ากิเลสบอกให้ขึ้นเขาแล้วขึ้นเลยไม่มีถอย
ถ้าลงกิเลสได้บอกแล้วขึ้นได้เลย ขึ้นเขาก็ขึ้นได้ ตกลงมาแม้
ตายก็ยอมตาย คนนั้นตกเขาคนนี้ตกบ่อคือความฉิบหายล่มจม
และความทุกข์ทรมาน การตกบ่อมีสาเหตุอะไรถึงต้องไปตก
บ่อ มันก็มีสาเหตุอันหนึ่งซึ่งขึ้นอยู่กับกิเลสตัวแสนเล่ห์แสนกล
อีกเหมือนกัน กิเลสมีส่วนจนได้ ๆ ๆ อย่างขึ้นบนภูเขาก็ขึ้น
ด้วยความเพลิดความเพลิน นั่นก็กิเลสพาไป ให้ลืมเนื้อลืมตัว
เพลิดเพลินเกินไปจนตกภูเขาลงมา ตกเหวตกหน้าผาจริง ๆ ลง
มาก็มี ตกเพราะกลกิเลสอื่น ๆ ก็มี มีอยู่ทุกแง่ทุกมุมบรรดากล
กิเลสจะทำคนให้เสียและล่มจม ทีนี้เราไม่รู้เรื่องกลมายาของ
มันจึงจมเอา ๆ มีพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่รู้ รองลำดับลงมาก็พระ
สาวกอรหันต์ ท่านเหล่านี้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ๆ รู้หมด ความรู้กล
มายาของกิเลสนี้รู้เหมือนกันกับพระพุทธเจ้าไม่มีแง่ที่น่าสงสัยเลย
นี่แลเราถึงได้พูดเรื่องภาวนามยปัญญาไว้พอประมาณ
กลัวว่าต่อไปนี้ปัญญาอันที่สามที่สำคัญมากที่สุดนี้ ซึ่งเป็นราก
แก้วของศาสนาในการบุกเบิกเพิกถอนกิเลสทุกประเภท คือ
ภาวนามยปัญญา จะถูกลบล้างไปเสีย เพราะไม่มีผู้ปฏิบัติให้รู้
ให้เห็นภาวนามยปัญญา ให้รู้ให้เจอภาวนามยปัญญา ซึ่งเป็น
สิ่งที่คาดไม่ถูกเลย ถ้าไม่เป็นขึ้นในหัวใจเจ้าของแล้วคาดไม่ถูก
ที่คาดไม่ถูกเพราะความไม่เป็น ความไม่เป็นอาจจะเป็นเพราะ
ความไม่ได้ปฏิบัติให้ได้ให้ถึงปัญญาขั้นนี้ก็ได้ ทีนี้เมื่อเป็นเช่นนั้น
แล้ว ภาวนามยปัญญาซึ่งเป็นรากแก้วของพุทธศาสนาเรานี้
อาจจะเห็นเป็นของไม่มีความสำคัญอะไรก็ได้เพราะคนไม่ได้
สนใจปฏิบัติจึงไม่รู้ เมื่อไม่รู้แล้วจะทราบได้อย่างไรว่าภาวนา
มยปัญญามีความสำคัญอย่างไรในวงศาสนา ตลอดถึงการ
ปราบปรามกิเลสเอาปัญญาชนิดใดมาปราบ เมื่อไม่รู้ไม่เห็น
แล้วก็อาจจะมีการแก้ไขดัดแปลงหรือลบล้างปัญญาประเภทนี้
ออกจากวงพระพุทธศาสนาไม่ให้มีก็ได้ เพราะสมัยทุกวันนี้นัก
ปราชญ์มีมาก จึงขอให้ท่านผู้ฟังทั้งหลายจำเอาไว้เพื่อเหตุการณ์
ดังกล่าวมาที่อาจเป็นได้ บางทีหลวงตาบัวตายแล้วจะได้นำไป
เป็นข้อคิดและทบทวนต่อไป ธรรมข้อนี้จะไม่สิ้นไม่สุดไปกับ
ลมปากของผู้ตายไปโดยถ่ายเดียวเสีย
ภาวนามยปัญญานี้ตามหลักธรรมชาติแล้วเป็นแก่นของ
ศาสนาอันหนึ่งในองค์มรรค ได้แก่ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป
ภาวนามยปัญญานี้อยู่ในองค์นี้ คือเป็นมรรค เป็นมรรคอันสำคัญ
ด้วย ทีนี้เมื่อเวลาไม่ได้ปฏิบัติก็ไม่รู้ ดีไม่ดีอาจคิดว่าปัญญา
ประเภทนี้จะเกิดขึ้นธรรมดาเหมือนสุตมยปัญญา
ที่ได้ยินได้ฟังจากเรื่องต่าง ๆ นี้เป็นสุตมยปัญญา ปัญญานั้นไม่ใช่อย่างนี้
สำหรับจินตามยปัญญาคิดอ่านไตร่ตรองไปธรรมดา ๆ เป็นปัญญาของสามัญชนเราธรรมดาธรรมดา เราก็คิดได้ตรองได้ พอ
เป็นปากเป็นทางเป็นปัญญาได้ สองอย่างนี้เราพอคาดได้ ถ้า
จะว่าเดาก็พอเดาได้ แต่ภาวนามยปัญญานี้ถ้าไม่เป็นขึ้นกับผู้
ปฏิบัติแล้ว เอาเท่าไรก็เอาเถอะจะไม่ถูกต้องกับความจริงเลย
ถ้าจิตไม่เป็นเสียเอง
เดาไม่ถูกด้วย ความไม่สนใจที่จะปฏิบัติให้เป็นอย่างนั้น
ด้วย แล้วก็ไม่รู้สิ่งนั้นด้วย เมื่อเป็นเช่นนั้นคำว่าภาวนามยปัญญา
ที่เป็นองค์มรรคอันสำคัญของพุทธศาสนานี้จะกลายเป็นกาฝาก
แห่งพุทธศาสนาไปเสีย ด้วยความเห็นความสำคัญของชาวพุทธ
เราว่าภาวนามยปัญญานี้ไม่จำเป็นเลย นี้สำคัญมาก เพราะ
วิสัยของคนมีกิเลสต้องไม่พ้นกิเลสที่จะแฝงเข้ามาทำลายจนได้
ว่าภาวนามยปัญญานี้ไม่ใช่ธรรมจำเป็นในวงพุทธศาสนา เป็น
ธรรมส่วนเกิน เป็นธรรมเคลือบแฝงต่างหาก เหล่านี้มีทางเป็น
ได้ และมีทางจะปัดปัญญานี้ที่จะฆ่ามันที่จะสังหารมันออกไม่
ให้มีอยู่ในวงพุทธศาสนา แล้วกิเลสจะสนุกเพ่นพ่านตั้งตลาด
ตเลบนหัวใจและความประพฤติของชาวพุทธเราโดยไม่อาจสงสัย
เพราะพุทธศาสนาขาดอาวุธที่ครบองค์แห่งมรรค ซึ่งจะทำลาย
สังหารกิเลสบนหัวใจสัตว์
ตลาดของกิเลสนั้นไม่เหมือนตลาดค้าขายเรานะ ให้ท่าน
ทั้งหลายนำไปพิจารณากิเลสตั้งตลาดบนหัวใจคนเป็นอย่างไร
ตลาดความโลภ ความโกรธ ความหลง นี้ตลาดของกิเลสราคะ
ตัณหาเป็นอย่างไร อยู่ที่ไหนถ้าไม่อยู่ที่หัวใจคนน่ะ ทุกวันนี้เป็น
อย่างไรกิเลสเข้าไปตั้งร้านค้ามากไหม แต่ก่อนกิเลสอย่างนี้ก็
เคยมีอยู่ แต่ไม่ได้ออกหน้าออกตาดื้อด้านเหมือนอย่างทุกวันนี้
เพราะไม่มีใครเสริมมันมาก เหตุใดจึงไม่มีใครเสริมมันมาก
เหมือนสมัยปัจจุบันนี้ เพราะธรรมครอบหัวมันไว้ พอธรรมจาง
ไป ๆ จากหัวใจคนมันโผล่ขึ้นมาได้ ๆ ออกเพ่นพ่านทั่วดินแดน
แบบกินไม่เลือก อันใดที่เป็นของสำคัญในหลักธรรมที่จะปราบ
ปรามมัน มันบอกว่าอันนั้นไม่สำคัญ อันใดที่เป็นเครื่องส่งเสริม
มันให้มีกำลังให้ดีให้เด่นเพื่อมันนั้นแหละ อันนั้นสำคัญมาก ถึง
จะเลวขนาดไหนก็ถือว่าสำคัญมาก ดีมากไปตาม ๆ กัน ถ้าลง
กิเลสได้ชมว่าดีแล้วเป็นบ้าไปหมดละพวกเรา ยิ่งลูกศิษย์หลวง
ตาบัวนี้ด้วยแล้วเป็นบ้ากันทั้งนั้นนะ พากันจำเอาคำนี้ไปคิดอ่าน
ไตร่ตรองให้เกิดประโยชน์แก่ตน
จะขอย้อนมาเรื่องภาวนามยปัญญาอีก คือภาวนามย
ปัญญานี้เป็นปัญญาที่ออกจากสุตมยปัญญาและจินตามยปัญญา
เป็นเครื่องหนุนให้เกิดปัญญานี้ขึ้นมาโดยมีสมาธิเป็นพื้นฐาน
ปัญญาที่จะพาให้เกิดทีแรกต้องอาศัยการบังคับบัญชาเพราะ
ปัญญายังไม่รู้ผลของตัวเอง ไม่เห็นคุณค่าของตัวเองเพราะยัง
ไม่เกิด เนื่องจากยังไม่ได้พิจารณา พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า
สีลปริภาวิโต สมาธิ มหผโล โหติ มหานิสโส สมาธิที่มีศีล
อบรมแล้วจิตใจย่อมอบอุ่น ไม่มีอารมณ์ฟุ้งซ่านวุ่นวายไปในแง่
ต่าง ๆ ให้เป็นอารมณ์กวนใจ ทำภาวนาจิตย่อมสงบได้ง่าย นี่
เป็นภาษาทางภาคปฏิบัตินะ
ทางภาคปริยัติเราก็เรียนมาเหมือนกัน ท่านมหาที่เรียน
ค้านก็ค้านกันซิ มหาต่อมหา (นี่มีพระมหาท่านฟังอยู่ด้วย) แปล
ตามศัพท์นั้นแปลว่าอย่างไร แปลตามความจริงนี้แปลว่าอย่างไร
เวลาปฏิบัติไปเจอเหตุผลเข้าเป็นอย่างไรกับความจำที่เรียนมา
นี่เอาตรงนี้ตรงที่กิเลสจะหมอบ เราแปลมาธรรมดานี้ดีไม่ดีไม่
พ้นเป็นหนอนแทะกระดาษนะ เราก็เคยเป็นมา เวลาเอาภาค
ความจำออกมาปฏิบัติที่นี่กิเลสจะหลงทิศหลงทางตรงนี้ เพราะ
ไปโดนหัวกิเลสเข้าอย่างจัง ๆ สมาธิปริภาวิตา ปัญญา มห
ผลา โหติ มหานิสสา ปัญญาที่มีสมาธิเป็นเครื่องหนุนเป็น
เครื่องอบรมแล้วย่อมคล่องตัวไม่เถลไถล นั่นฟังซิ นี่ภาคปฏิบัติ
คือ เมื่อมีสมาธิแล้วจิตไม่หิวโหยไม่คิดไปโน้นคิดไปนี้ เพราะ
ความพอตัวของจิต อิ่มอยู่ในอารมณ์แห่งสมาธิคือความสงบใจ
ความสงบใจนี้มีรสมีชาติพอที่จะติดได้ เพราะฉะนั้น ผู้ปฏิบัติ
จึงติดสมาธิได้
จิตอยู่ในอารมณ์แห่งสมาธินี้ไม่วุ่นวายส่ายแต่ไปกับ
อารมณ์ต่าง ๆ ทีนี้ก็พาทำงาน คือพาใช้ทางด้านปัญญา มี อนิจจํ
ทุกขํ อนตฺตา อสุภะอสุภัง เป็นฐานแห่งการทำงาน เวลา
พิจารณาไป ๆ จะค่อยรู้ไป ๆ และค่อยก้าวไป ๆ เพราะสมาธิ
หนุน ไม่ได้คิดนอกลู่นอกทาง ให้ทำงานอะไรจิตก็ทำอย่างนั้น
จริง ๆ ไม่หิวโหยไม่เป็นสัญญาอารมณ์ก็เป็นปัญญาขึ้นมาได้
และพอใจในการพิจารณาทางปัญญา ขั้นที่สามนี่สำคัญมาก
พอปัญญาขั้นนี้เกิดขึ้นแล้วจะเห็นคุณค่าแห่งปัญญาของตน เมื่อ
เห็นคุณค่าแล้วเกิดความสนใจ พอเกิดความสนใจแล้วความขยัน
หมั่นเพียรจะหนักเข้า ความสนใจจะหนักเข้า ความรู้จะปรากฏ
แปลก ๆ ต่าง ๆ ขึ้นมาเรื่อย สิ่งที่ไม่เคยรู้ รู้ สิ่งที่ไม่เคยเห็นเห็น
เห็นขึ้นมารู้ขึ้นมาโดยลำดับลำดา ท่านจึงเรียกว่าปัญญาทาง
จิตตภาวนาเป็นอย่างนั้น จากนั้นก็ก้าวเข้าสู่ภาวนามยปัญญา
พอจิตก้าวเข้าสู่ภาวนามยปัญญา นั่นคือปัญญาที่หมุน
ตัวไปเองโดยอัตโนมัติ ถ้าเทียบแล้วก็เช่นเดียวกับกิเลสที่หมุน
ตัวของมันอยู่บนหัวใจเราเป็นวัฏจักรวัฏจิตตลอดเวลานั่นแล ไม่ว่า
จะหมุนตัวหรือกระดิกพลิกแพลงออกทางด้านไหนแง่ใดมุมใด
มีแต่กิเลสสร้างเหตุสร้างผลของมันเพื่อวัฏวน เพื่อวัฏจักรวัฏจิต
ขึ้นในหัวใจของสัตวโลกโดยอัตโนมัติของมัน ทีนี้พอภาวนา
มยปัญญาเริ่มเกิดขึ้นก็ทำงานเช่นนั้นเหมือนกัน นี่เรียกว่าจิต
เริ่มงานคืองานอัตโนมัติ อยู่อย่างไรก็ตามอิริยาบถใดก็ตาม
ปัญญานี้จะหมุนตัวเหมือนธรรมจักรเรื่อย ๆ ไป นี่ปัญญาของ
พระพุทธเจ้าและภาวนามยปัญญาแท้ในวงพระพุทธศาสนา
ท่านทั้งหลายจำเอานะ อย่าให้เห็นอยู่แต่ในตำรับตำรา
ให้เห็นอยู่ในหัวใจคนหัวใจเราบ้างว่าเป็นยังไงปัญญาอันนี้
พระพุทธเจ้าเลิศ เลิศเพราะอะไร จากนั้นก็ย้อนตลบทบทวน
ไปได้หมดว่า กิเลสประเภทใดก็ตามถ้าลงปัญญาประเภทนี้ได้
เกิดขึ้นแล้วต้องเสร็จว่างี้เลย พูดอย่างอื่นไม่ถึงใจ บอกว่าเสร็จ
อย่างนั้นเลย เอ้า กิเลสจะหนาแน่นขนาดไหนก็ตาม เจอปัญญา
ประเภทนี้เข้าเป็นพังทันทีเลย สมมุติว่าเชื้อไฟมีอยู่กว้างแคบ
ขนาดไหน ถ้าลงไฟได้จ่อเข้าไปแล้วไม่ต้องถามไม่ต้องบอก ไฟ
จะไหม้ตามเชื้อไปได้หมด จนกระทั่งเป็นเถ้าเป็นถ่านแล้วถึงจะ
หยุด นี่กิเลสซึ่งเป็นเหมือนเชื้อไฟ ไฟคือตปธรรมได้แก่ภาวนา
มยปัญญาจะหมุนตัวไปอย่างนั้น จะลุกลามไปเรื่อย ๆ เป็น
อัตโนมัติ หมุนตัวไปเอง ไม่ต้องถูกบังคับเหมือนแต่ก่อน
ทีนี้ก็ทราบได้ว่าอะไรเป็นธรรมชาติที่ฆ่ากิเลส และคำ
ว่าปัญญา-ปัญญาประเภทใดฆ่ากิเลสสังหารกิเลส พระพุทธเจ้า
ท่านตรัสรู้ด้วยปัญญาประเภทใด พระอรหันต์เป็นพระอรหันต์
ได้เพราะปัญญาประเภทใด จะบอกอยู่ในหัวใจของผู้เป็น ๆ
นั่นเอง จนกิเลสก็ม้วนเสื่อไม่มีอะไรเหลือเลย ทำไมจะไม่รู้ว่า
ปัญญานี้เป็นยังไง ปัญญานี้ฆ่ากิเลสหรืออะไรฆ่ากิเลสก็รู้อย่าง
แจ้งชัดไม่มีที่สงสัย
ปัญญาประเภทนี้ถ้าไม่ได้ประพฤติปฏิบัติกัน มีแต่เรียน
จดจําตามคัมภีร์ใบลานเฉย ๆ ก็จะไม่พ้นเป็นหนอนแทะกระดาษ
แหละ และยังมีทางคิดไปได้ว่าปัญญาประเภทนี้ซึ่งเป็นปัญญา
สำคัญมากในวงพุทธศาสนาจะแปรเปลี่ยนและกลายเป็นของ
ไม่สำคัญไม่มีคุณค่าอะไร ดีไม่ดีนักปราชญ์แผนปัจจุบันจะเกิด
ขึ้นและตำหนิว่าปัญญาชนิดนี้ไม่สำคัญอะไรเลย
เป็นธรรมส่วนเกิน เป็นปัญญาประเภทกาฝากแฝงอยู่ในวงพุทธศาสนา
ผู้แต่งก็เขียนกันแต่งกันไว้อย่างนั้นแหละ ไม่เห็นจำเป็นอะไร นั่น ก็คิดดูตั้งแต่พวกเทวบุตรเทวดาอินทร์พรหมทั้งหลายก็กว้านเข้ามาว่า ก็เรา ๆ ท่าน ๆ นี่เองจะมีจะเป็นเทวบุตรเทวดามาจากไหน
นี่เริ่มเป็นแล้วเวลานี้นักปราชญ์แผนปัจจุบัน เทวบุตรเทวดาอินทร์
พรหมจะมีมาจากที่ไหนก็พวกเรา ๆ ท่าน ๆ นี้แหละ นรกก็อยู่กับ
เรา ๆ นี่แหละ ว่างั้น กว้านเข้ามานี้หมดเลย
คนประเภทเรียนลัดนี้เหรอจะไปรู้เรื่องของเทวบุตรเทวดา
อินทร์พรหม คนที่คุยโม้อยู่เวลานี้เหรอ หลอกโลกอยู่เวลานี้เหรอ
จะเป็นเทวบุตรเทวดาน่ะ นี่ละปราชญ์สมัยปัจจุบัน แปดสมัย
ปัจจุบัน เข้าใจไหมปราชญ์กับแปด มันแปดมันแลดอยู่นิด ๆ
เรียกว่าแปด แล้วก็ว่าตัวรู้ตัวฉลาด เดินไปไหนก้าวไม่ออกมัน
หนักความรู้ จะหนักความรู้อะไรกัน มันหนักกิเลสทับหัวใจ
รู้ไหม พูดแล้วโมโหจริง ๆ นะ ก็พูดด้วยความจริงนี่ถึงโมโห
โมโหอย่างนี่ไม่เป็นไรแหละ โมโหอันนี้ไม่อยากตีคนฆ่าคนนี้
โมโหธรรมดา ที่โมโหก็เพราะถึงใจนั่นเอง
เรื่องภาวนามยปัญญานี่เป็นปัญญาที่ลึกลับมากทีเดียว
ถ้าไม่ใช่ทางภาคปฏิบัติแล้วจะไม่รู้จะไม่เห็น นี่ละที่กลัวจะถูก
ตัดออกจากวงศาสนธรรมของพระพุทธเจ้า จึงทำให้วิตกวิจารอยู่
ไม่วายถึงกับได้นำมาพูดอยู่เวลานี้ กลัวปราชญ์แผนปัจจุบันจะ
ตัดออกโดยเห็นว่าไม่สำคัญ ปัญญาประเภทนี้เอามาจากศาสนา
ใดก็ไม่รู้ ลัทธิใดก็ไม่รู้ จะอุตริไปอย่างนั้นนะ เพราะตัวเองไม่
เคยปฏิบัติ ตัวเองไม่เคยเห็น ตัวเองไม่เคยรู้ ก็ไม่เห็นความสำคัญ
ของศาสนาว่าอันใดที่เป็นความสำคัญในศาสนาพุทธเราคืออะไร
ท่านบอกว่าอริยสัจ อริยสัจประเภทไหนที่สำคัญมาก อริยสัจก็
คือมรรคสัจนั่นเอง ได้แก่ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป รวมกัน
เข้าในภาวนามยปัญญานี้อย่างแยกไม่ออก ถ้าไม่จงใจแยกเพื่อ
ทำลายพุทธศาสนาให้ฉิบหายล่มจมไปถ่ายเดียวเท่านั้น
เพราะเวลาภาวนามยปัญญาเกิดขึ้นแล้วเป็นอย่างที่ว่า
จริง ๆ คือหมุนตัวเพื่อเหตุการณ์อยู่ตลอด ไม่ว่าจะยืนจะเดินจะ
นั่งจะนอน ถ้าลงกิเลสไม่สิ้นจากใจเสียจริง ๆ จนไม่มีอะไรเหลือ
แล้วยังไงปัญญาประเภทนี้จะไม่หยุดทำงานเลย แม้แต่นอนยัง
ต้องได้รั้งเอาไว้ รั้งคืออย่างไร คือหักห้ามไว้เพื่อไม่ให้พิจารณา
เลยเถิดด้วยความเพลินในงานที่ทำ ท่านจึงว่าอุทธัจจะปัญญา
ฟุ้งเกินไปในสังโยชน์เบื้องบน สังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ ได้แก่ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส กามราคะ ปฏิฆะ ส่วนรูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา นี่เป็นสังโยชน์เบื้องบน
สังโยชน์เบื้องบนนี้จะละด้วยอรหัตมรรค
อุทธัจจะนี่หมายความว่าอย่างไร นั่นละจะวิ่งเข้ากันตรง
นี้ อุทธัจจะคือจิตเวลาฆ่าหรือถอดถอนกิเลสจะเพลินในการฆ่า
เพลินในการถอดถอน เพลินในการคุ้ยเขี่ยขุดค้นหากิเลส เพื่อ
ฆ่าเพื่อสังหารมัน นี้ต้องได้รั้งเอาไว้ คำว่ารั้งเอาไว้ คือถึงเวลา
ที่จะพักเข้าสู่สมาธิให้สงบอารมณ์เป็นพัก ๆ ไป กิริยาของจิตที่
ทำงานนั้นให้พัก เรียกว่าพักงาน ต้องพัก เหมือนกับการพัก
ผ่อนนอนหลับ แต่จิตจะไม่อยากพัก มันจะหมุนของมันเรื่อย
เหมือนเศรษฐีเพลินในรายได้นั่นแหละ อันนี้ราคาเท่าไร อันนั้น
ราคาเท่าไร ลูกค้านั้นเข้ามาช่องนั้น ลูกค้านี้เข้ามาช่องนี้ อัน
นั้นราคาเท่านั้น อันนี้ราคาเท่านี้ เศรษฐีเลยจะตายเพราะไม่ได้
กินข้าว อันนี้ก็เหมือนกัน เศรษฐีธรรมเป็นอย่างนั้นแหละ
พระพุทธเจ้าท่านถึงบอกว่าอุทธัจจะ ๆ แต่เราไม่รู้ว่า
อุทธัจจะหมายความว่าอย่างไร เวลาไปเจอเข้า อุทธัจจะนี้ไม่
ได้เหมือนอุทธัจจกุกกุจจะในนิวรณ์ ๕ นะ ในนิวรณ์ ๕ มีอยู่
ในสามัญชนทั่ว ๆ ไป อุทธัจจกุกกุจจะในนิวรณ์ ๕ นั่นคือทั้ง
ฟุ้งซ่านทั้งรำคาญ อันนี้อุทธัจจะคือเพลินเพลินในการค้นการ
พินิจพิจารณา ถึงปัญญาขั้นนี้แล้วเป็นอย่างนั้น อุทธัจจะนี้ต้องเพลิน
ในงานไม่อยากจะเข้าพักในเรือนคือสมาธิ จนกระทั่งกิเลสไม่มี
อะไรเหลือถึงจะหยุด หากกิเลสยังมีอยู่จะต้องหมุนอยู่อย่างนี้
ตลอดไป ไม่ว่าจะเดินเหินไปไหนก็ตาม นั่งก็ตาม นอนก็ตาม แม้
ที่สุดสมมุติว่าเรารับประทานอาหารอยู่ก็ตาม อาหารจะสัมผัส
เพียงลิ้นเพียงปากเท่านั้น แต่ระหว่างธรรมกับกิเลสฟัดกันนี้
จะไม่เกี่ยวข้องกับรสอาหารนี้เลย ไม่ได้สนใจกับอาหารนี้ หมุน
อยู่ติ้ว ๆ นั่นแลงานของธรรมที่ฆ่ากิเลสเป็นอย่างนั้น งานของ
ภาวนามยปัญญาเป็นอย่างนั้น หมุนติ้ว ๆ อยู่โดยลำพัง
จนกระทั่งกิเลสได้ม้วนเสื่อหมดไม่มีอะไรเหลือเลย
เรียกว่ากิเลสขาดสะบั้นลงไปหมด ปัญญานี้ไม่ต้องบอกก็ยุติเอง
อุทธัจจะผ่านไปแล้วไม่ฟุ้งอีก คือไม่เพลินเกินไป ถึงความพอดี นี่ละภาวนามยปัญญาเป็นปัญญาที่ฆ่ากิเลสไม่มีกิเลสตัวใดเหลือ
อนุสัยก็อนุสัยเถอะไม่พ้นจากภาวนามยปัญญานี้ไปได้
เพียงลำพังปัญญาเราธรรมดาที่คิดอ่านไตร่ตรองจะไปฆ่ากิเลสให้
สิ้นไปจากใจนั้นอย่าหวังว่างี้เลย แม้เราตัวเท่าหนูนี้ก็ตาม ไม่
ได้อวดแต่กล้าพูดว่าอย่าหวังว่า งี้เลย ต้องขึ้นบนเวทีเองซีถึงจะ
รู้กัน ไม่ขึ้นบนเวทีมีแต่เฮ ๆ ๆ อยู่เฉย ๆ รอบเวทีได้เรื่องอะไร
อยากให้ได้อย่างใจเจ้าของ แต่ผู้เขาต่อยเขาจะตายน่ะ นี่ให้
ระหว่างกิเลสกับธรรมต่อยกันบนเวทีของผู้ปฏิบัติดูซีเป็นยังไง
ให้มันรู้เองซี อันนี้มีแต่เฮ ๆ ๆ อยู่นอกวงความเพียรและหลับ
ครอก ๆ ๆ ภาวนาไม่ได้เรื่องมีสารประโยชน์อะไร
ให้จำเรื่องเหล่านี้ไว้นะ แม้หลวงตาบัวตายแล้วก็ตาม นี้
พูดอย่างอาจหาญว่างั้นเลยนะ พูดตามความจริงไม่ได้พูดด้วย
ความโอ้อวด พูดตามหลักความจริงเป็นยังไงก็ว่าอย่างนั้น ดึงออกมาให้เห็นเลย ศาสนาพระพุทธเจ้าเป็นยังไง เหมือนอย่างนี้แหละดูเอา ปัญญาประเภทนี้เป็นปัญญาที่ลึกลับมากที่สุด
เกินกว่าจะคาดคะเนด้นเดาได้ถูกถ้าไม่เป็นขึ้นกับตน ผู้ปฏิบัติ
เท่านั้นที่จะรู้ว่าอย่างนี้เลย บอกว่าเท่านั้น ถ้าธรรมดาเราจะ
เรียนจด ๆ จำ ๆ มาธรรมดาไม่มีหวังที่จะรู้ปัญญาขั้นนี้ จะให้
ปัญญาขั้นนี้เกิดไม่มีหวัง นี่ซิพวกเราไม่ได้สนใจทางที่จะให้
ปัญญาประเภทนี้เกิด สุดท้ายก็มาคัดปัญญาหรือตัดปัญญานี้ออก
โดยเห็นว่านอกจากศาสนาพุทธไป และว่าปัญญาประเภทนี้
เป็นปัญญาปลอม ปัญญาแฝง มันจะออกแบบนี้นะให้ระวังให้ดี
เพราะฉะนั้นถึงได้เตือนเอาไว้ว่าหลวงตาบัวไม่ได้อยู่นานนะ
ไม่ได้อยู่ค้ำฟ้านะ นี้เกิดมาเพื่อตายเหมือนกัน ให้จำคำพูดอันนี้ไว้
เวลาหลวงตาตายแล้วจะได้จำเรื่องนี้ไว้ จะมีได้จริง ๆ นะ สาเหตุที่จะให้มีให้เป็นได้ก็เพราะคนไม่สนใจปฏิบัติ
แต่จะตั้งตัวเป็นนักปราชญ์อาจารย์สมัยเรียนลัด นักปราชญ์จรวด
ดาวเทียมนั่นซิ จะตัดเข้าไป ๆ เดี๋ยวก็ตัดคอเจ้าของ นอกจาก
ตัดคอคนอื่นที่เป็นชาวพุทธจำนวนมากมายให้เห็นผิดขาดผล
ขาดประโยชน์มหาศาล แล้วก็ตัดคอเจ้าของเข้าไปอีกเป็นการ
แถมท้ายให้ฉิบหายไปตาม ๆ กัน
ภาวนามยปัญญานี่เป็นธรรมที่สำคัญมาก เป็นปัญญาที่
สำคัญมาก เป็นรากแก้วของอริยสัจเลย แต่กลัวจะถูกลบล้าง
ไป ได้เห็นแล้วทุกวันนี้เริ่มลบล้างไป ลบล้างไป ทั้งนรกและ
สวรรค์ก็จะถูกลบล้างไปด้วยความรู้ความเห็นอันจอมปลอมว่า
ไม่มี มีเฉพาะสวรรค์อยู่ในหัวอก นรกอยู่ในใจนี้เท่านั้น หลัก
ธรรมท่านสอนไว้ว่าอย่าทำความชั่ว ถ้าทำความชั่วแล้วความ
ชั่วนี้จะพาให้ไปเสวยทุกข์ในแดนนรก ให้สร้างความดี อันนี้
ไม่ให้ละเว้น ให้บำเพ็ญความดี นี้คือทางเข้าไปสู่สวรรค์
และเมื่อไปถึงสวรรค์แล้วก็จะได้เสวยกุศลของเจ้าของนั่นแหละ เมื่อ
ไปตกนรกก็จะไปเสวยกรรมของเจ้าของนั่นเอง จึงต้องบอก
ให้ละ อย่าทําบาปหยาบช้า
พวกเทวบุตรเทวดาอินทร์พรหมอะไรท่านสอนไว้หมด
ท่านสอนด้วยความลืมตาเห็นจริง ๆ คือตาญาณ ส่วนพวกเรา
มันคลั่งกิเลสตัวมืดบอดพากันหลับตาลบล้าง ว่าเทวบุตรเทวดา
ก็พวกเรา ๆ ท่าน ๆ นี่แหละ จะมีเทวบุตรเทวดามาจากที่ไหน
ทั้ง ๆ ที่พระพุทธเจ้าถ้าหากว่าภาษาปัจจุบันนี้เขาเรียกว่า แสดง
ไว้บอกไว้ในตารางสอนอยู่แล้ว สตฺถา เทวมนุสสาน เป็นครู
ทั้งเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ฟังไม่ใช่ตารางสอนจะว่ายังไง
อฑรตเต เทวปญหน ตอนเที่ยงคืนล่วงไปแล้วทรงแก้ปัญหา
เทวดาและประทานพระโอวาทแก่เทวดาทั้งหลายตั้งแต่ชั้นท้าว
มหาพรหมลงมา นี่ตารางสอนพระพุทธเจ้า นี้พระโอวาทพระ
พุทธเจ้าผู้ที่หูแจ้งตาสว่างทุกสิ่งทุกอย่างสว่าง บอกมาตามความ
สัตย์ความจริงอย่างนี้ต่อพวกเรา ให้สมบูรณ์เต็มที่ พูดง่าย ๆ
ว่าอะไรมีอยู่ พระองค์นำมาแสดงให้เห็นเต็มที่เต็มภูมิของศาสดา
แต่พวกเรานี้เป็นพวกตัดเข้าไปตัดเข้าไป ตัดเข้าไปด้วย
ความหูหนวกตาบอด เวลานี้น่าทุเรศมากที่สุดนะ อันใดที่เจ้า
ของไม่รู้ไม่เห็นก็ว่าอันนั้นไม่มีแล้วตัดออกเสีย สิ่งใดที่เจ้าของ
ไม่เจอก็ว่าสิ่งนั้นไม่มีแล้วตัดออก ๆ นี่ซิน่าทุเรศนะ เพราะฉะนั้น
เราถึงได้รีบเตือนเอาไว้ว่าภาวนามยปัญญานี้จะถูกตัดนะเพราะ
ไม่ได้ทำนี่ คิดดูซิเทวบุตรเทวดาเดี๋ยวนี้ก็เริ่มตัดแล้วเริ่มลบล้าง
แล้วว่าไม่มี มีก็พวกเรา ๆ ท่าน ๆ นี่แหละเทวบุตรเทวดาก็ดี
ต่อไปเทวบุตรเทวดาอินทร์พรหมที่ประทานไว้ในศาสนธรรมก็
จะถูกตัดออกจากบัญชีแห่งความมีอยู่ของตน ๆ ไม่อาจสงสัย
สิ่งที่เป็นอยู่ในมนุษย์เรานี้ เป็นเทพโดยสมมุติในเมือง
มนุษย์เราท่านก็บอกไว้แล้ว เช่นพระราชามหากษัตริย์เป็นต้น
เป็น สมมุติเทพ ที่โลกทั้งหลายได้สมมุติเป็นที่ยอมรับกัน อุป
ปัตติเทพ เทวดาโดยหลักธรรมชาติจริง ๆ เป็นเทวบุตรเทวดา
โดยกำเนิดที่เกิดอยู่ตามหลักธรรมชาติบุญกรรมของตัวเอง ส่งให้
ไปเกิดเป็นเทวบุตรเทวดาอินทร์พรหมท่านก็บอกไว้แล้ว ตลอด
ถึง วิสุทธิเทพ เทวดาโดยความบริสุทธิ์ ภพชาติต่าง ๆ ขาดสะบั้น
ออกจากพระทัยหรือใจกลายเป็นพระทัยหรือใจที่บริสุทธิ์ขึ้นมา
ได้แก่ พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และบรรดาสาวก
อรหัตอรหันต์ พระพุทธเจ้าก็นำมาแสดงอย่างไม่บกพร่อง ว่า
อะไรมีอย่างไรก็ทรงแสดงบอกไว้ไม่ได้บกพร่องเลย
คิดดูซี มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ ใครจะไปค้าน
พระพุทธเจ้าได้ถ้าไม่ใช่พระอรหันต์ สำหรับพระอรหันต์แล้ว
ท่านต้องรู้ นิพพาน ๑ ถ้าธรรมดาจะพูดไว้ทำไม นั่นละเอียด
ขนาดนั้นแลพระพุทธเจ้าของพวกเรา เมื่อเวลาพระอรหันต์
ก้าวเข้าไปก้าวเข้าไปนี้ เพราะพระอรหันต์ท่านก็เห็นอยู่เหมือน
กันค้านกันได้ยังไง พอก้าวเข้าไป ๆ มรรค ๔ ผล ๔ ก้าวกัน
มาเป็นธรรมคู่ ๆ นี้ยังเป็นสมมุติ ๆ โสดาปัตติมรรค-โสดา
ปัตติผล ตลอดถึงอรหัตมรรค-อรหัตผล นี่ยังเป็นธรรมคู่ ๆ ยัง
เป็นสมมุตินี้ พอก้าวเข้าเต็มภูมิเหมือนอย่างเราก้าวขึ้นบันได
พอเท้านี้ขึ้นถึงพื้นบ้านแล้ว ก้าวนี้ยังไม่ละจากบันไดขั้นสุดท้าย
นี่แลมรรคกับผลกำลังก้าวกันอยู่ยังทำงานอยู่ พอเท้าข้างซ้าย
นี้ก้าวขึ้นไปถึงพื้นบ้านด้วยกันกับเท้าข้างขวาแล้วหยุดกึกตรง
นั้น นั่นคือนิพพาน ๑ นี่คือธรรมสำคัญ ถ้าไม่ทรงแสดงไว้ให้
สมบูรณ์ตามนี้ พระพุทธเจ้าจะทรงถูกติงจากสาวกอรหันต์ทั้ง
หลายโดยไม่อาจสงสัย
เอ้า ทีนี้ถ้าหากพระอรหันต์ท่านไปท่านก็จะไปแบบนั้น
นี่ เพราะเป็นหลักธรรมชาติจะต้องเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างอื่น
ไปไม่ได้ พอถูกเข้าไปอย่างนั้นแล้ว เรื่องอันหนึ่งจะถูกติงจาก
พระสาวกทั้งหลายนะ อันหนึ่งพระองค์ไม่เห็นทรงแสดงไว้
อันที่เลยจากธรรมคู่ ๆ นี้ไปแล้ว นี่อย่างน้อยก็ถูกทิ้งถูกค้าน
อยู่นั่นแหละว่าอันหนึ่งไม่เห็นแสดงไว้ นี่แลเพื่อให้สมภูมิของ
ศาสดาเอกไม่ให้มีความบกพร่องก็ว่า มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ นั่น พอพระอรหันต์ก้าวเข้านี่ปั๊บเห็นแล้วยอมรับเลย
ว่าพระพุทธเจ้าละเอียดจริง และเชื่อพระพุทธเจ้าเชื่ออย่างนี้ซิ
พระอรหันต์รู้ฉันใด พระพุทธเจ้าทรงรู้ไว้แล้ว ๆ หาที่ค้านไม่
ได้แล้ว ๆ เมื่อเป็นเช่นนี้จะไปทะนงตนอยู่ได้ยังไงคนเรา เพราะ
หาความจริงอยู่แล้วนี่ จะเอาอะไรมาทะนง นี่ซิที่สำคัญ