เหมือนกับใจ คล้ายกับจิต
พระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท)
“ธรรมะก็เรื่องเดียวอย่างนี้ จึงอุปมาให้ฟัง เพราะว่ามันไม่มีรูปแบบ บอกไม่ได้ว่ามันเป็นรูปกลมหรือเหลี่ยม มันไม่รู้จัก นอกจากจะเปรียบเทียบอย่างนี้ ถ้าเข้าใจอันนี้ก็เข้าใจธรรมะ
มันเป็นเสียอย่างนี้ อย่าเข้าใจว่าธรรมะมันอยู่ห่างจากเรา
มันอยู่กับเราก็เป็นเรื่องของเรานี่แหละลองดูซิ เดี๋ยวก็ดีใจ เดี๋ยวก็เสียใจ
เดี๋ยวก็พอใจบ้าง เดี๋ยวก็โกรธคนนั้น
เดี๋ยวก็เกลียดคนนี้ธรรมะทั้งนั้นแหละโยม”
บ้านที่แท้จริง
บ้านข้างนอก ไม่ใช่บ้านที่แท้จริง
เป็นบ้านสมมติ บ้านอยู่ในโลก
ส่วนบ้านที่แท้จริงของเรา คือ ความสงบ
พระพุทธเจ้าทรงให้สร้างบ้านเรือนตัวเอง
โดยวิธีปล่อยวางให้มันถึงความสงบ
สู่ทะเล
ห้วยหนองคลองบึงต่างๆ ที่มันไหลลงสู่ทะเล เมื่อมัน
ไปตกถึงทะเลแล้ว มันก็มีสีคราม รสเค็มด้วยกัน
มนุษย์เราทั้งหลายก็เช่นกัน จะอยู่คนละทิศคนละ
ทางก็ช่าง จะอยู่ที่ไหนก็ตาม เมื่อลงสู่กระแสของธรรมะแล้ว
มันก็ลงสู่ธรรมะอันเดียวกัน
น้ำใต้ดิน
พระพุทธเจ้าคือพระธรรม
และพระธรรมก็คือพระพุทธเจ้า ธรรมะที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้นั้น เป็นธรรมะที่มี
อยู่ประจำโลก ไม่สูญหาย เหมือนกับน้ำที่มีอยู่ในพื้นแผ่นดิน
ผู้ขุดบ่อลงไปให้ถึงน้ำ ก็จะเห็นน้ำ ไม่ใช่ว่าผู้นั้นไปแต่งขึ้น
ทำให้มีน้ำขึ้น บุรุษนั้นลงกำลังขุดบ่อเท่านั้น ให้ลึกไปให้ถึงน้ำ
น้ำก็มีอยู่แล้ว
ฉะนั้น ถ้าเรามีปัญญาก็จะเห็นได้ว่าเราไม่ได้อยู่ห่าง
พระพุทธเจ้าเลย เดี๋ยวนี้เราก็ยังนั่งอยู่ตรงหน้าพระพุทธเจ้า
เราเข้าใจธรรมะเมื่อใด เราก็เห็นพระพุทธเจ้าเมื่อนั้น ผู้ใดที่
ตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรมอยู่อย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะนั่ง ยืน
เดิน อยู่ ณ ที่ใด ผู้นั้นย่อมได้ฟังธรรมพระพุทธเจ้าตลอดเวลา
วิชาไม่หาย
พระพุทธเจ้าคือธรรมะ ธรรมะก็คือพระพุทธเจ้าเป็น
อย่างนี้ ตรัสรู้นี่ท่านไม่เอาไปหรอก ท่านก็ทิ้งไว้ในนี้แหละ
ถ้าพูดง่าย ๆ อย่างพวกครูเราน่ะ ครูในโรงเรียนไม่ได้เป็นครู
มาแต่กำเนิดหรอก มาเรียนวิชาครูถึงได้เป็นครูกัน ได้สอน
ในโรงเรียนได้เงินเดือนกับเขา อยู่ไปนาน ๆ ก็เลยตายซะ
ตายจากครูไปซะ ถ้าหากพูดอย่างหนึ่งก็ว่า ครูนั้นยังไม่ตาย
คือคุณธรรมที่ทำครูให้เป็นครูนั้นยังอยู่ อย่างพระพุทธเจ้า
ของเราน่ะ สัจธรรมที่ทำให้คน ๆ นั้นเป็นพระพุทธเจ้านี่ยังอยู่
ไม่หนีไปไหน
ช้าง วัว ควาย
การฝึกจิตให้ดีย่อมสำเร็จประโยชน์ เราสังเกตดูแต่
สัตว์พาหนะ เช่น ช้าง วัว ควาย ก่อนที่เราจะเอามาใช้งาน
ต้องฝึกเสียก่อน เมื่อฝึกดีแล้วเราจึงได้อาศัยแรงงานมัน ทำ
ประโยชน์นานาประการ ท่านทั้งหลายก็ทราบแล้ว จิตที่ฝึก
ดีแล้วย่อมมีคุณค่ามากมายกว่ากันหลายเท่า ดูแต่พระพุทธองค์
และพระอริยสาวกได้เปลี่ยนภาวะจากปุถุชนมาเป็นพระอริย
บุคคลจนเป็นที่กราบไหว้ของคนทั่วไป และท่านได้ทำ
ประโยชน์อย่างกว้างขว้างเหลือประมาณที่เรา ๆ จะกำหนด
เพราะพระพุทธองค์และสาวกได้ผ่านการฝึกจิตมาด้วยดีแล้ว
ท้งนั้น
จิตที่เราฝึกดีแล้วย่อมเป็นประโยชน์แก่การประกอบ
อาชีพทุกอย่างยังเป็นหนทางให้รู้จักทำงานด้วยความรอบคอบ
ไม่เป็นผู้หุนหันพลันแล่น ทำให้ตนเองมีเหตุผลและได้รับ
ความสุขตามสมควรแก่ฐานะ
ต้นไม้กับกายเรา
เหมือนกับต้นไม้ต้นหนึ่ง มันมีราก โคนลำต้น ใบ ใบทุกใบ กิ่งทุกกิ่งทั้งลำต้น อาศัยรากดูดกินอาหารส่งขึ้นไป
หล่อเลี้ยง
ร่างกายของเรา ทั้งกายทั้งวาจานี้ หรืออายตนะ คือ
ตา หู จมูก ลิ้น กาย นี้เปรียบเหมือนกิ่ง ก้าน ลำต้น ใจเปรียบ
เป็นรากดูดกินอาหาร แล้วแบ่งขึ้นสู่ลำต้น แบ่งไปหากิ่ง หา
ใบ ให้เป็นดอกเป็นผล
สตังหาย
เหมือนกับญาติโยมทั้งหลายออกไปจากบ้านเป็นต้น
แล้วกระเป๋าสตางค์หาย มันหล่นอยู่กลางทางโน่น ยังไม่ทันรู้
จักพากันสบายอยู่ สบายเพราะยังไม่รู้จักว่าสบายนี้เพื่ออะไร
สบายเพื่อจะไม่สบายอีกต่อไป เมื่อต่อไปเราได้เห็นว่าเงินเสีย
ไปแล้วจริง ๆ ก็เกิดความไม่สบายขึ้น คือมันเกิดขึ้นมาเมื่อเรา
รู้จักต่อหน้า บาปบุญคุณโทษนี้ก็เหมือนกัน พระพุทธเจ้า
ท่านจึงทรงสอนให้รู้จัก ถ้ามันไม่รู้จัก มันก็ไม่รู้จักผิด ไม่
รู้จักถูก ไม่รู้จักดี ไม่รู้จักชั่ว
ล้อเกวียน - รอยเกวียน
วัฏฏะก็เหมือนกับล้อเกวียน โคลากเกวียนไป ล้อ
เกวียนมันไม่ยาว ถ้าโคตัวนั้นมันลากไปไม่หยุด รอยเกวียน
มันก็ทับรอยโคไปไม่หยุด มันกลมแต่ว่ามันยาว จะว่ามันยาว
ก็ได้ แต่ว่ามันกลม เราเห็นความกลมเช่นนี้ ก็ไม่เห็นความ
ยาว ในวงเกวียนอันนั้นเมื่อโคลากไปไม่หยุด ล้อเกวียนก็
หมุนไปไม่หยุด
อีกวันหนึ่ง โคมันหยุด มันเหนื่อย สลัดแอกออกไป
เสีย โคไปโค เกวียนไปเกวียน ล้อเกวียนก็หยุดเอง ทิ้งอยู่นาน
พอนานไปมันก็เป็นธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ถมทับเป็นดินหญ้า
อย่างเดิม
คนทำกรรมก็เหมือนกัน มันไม่จบเรื่อง คนพูดความ
จริงก็ไม่จบ คนมิจฉาทิฏฐิก็ไม่จบ
ก้อนน้ำแข็ง
ก้อนน้ำแข็งใหญ่เอาไปวางไว้กลางแจ้งจะดูความเสื่อมของก้อนน้ำแข็ง
ก็เหมือนสังขารนี้มันจะเสื่อมทีละน้อย ทีละน้อย ไม่กี่นาที ไม่กี่ชั่วโมง ก้อนน้ำแข็งนี้ก็จะละลายหมดเป็นน้ำไปที่เรียกว่าเป็น ขัยยะวัยยัง
ความสิ้นไป ความเสื่อมไปแห่งสังขารทั้งหลายเป็นมานานแล้วตั้งแต่มีโลกขึ้นมา เราเกิดมาเราเก็บเอาสิ่งเหล่านี้
มาด้วย ไม่ใช่ว่าเราทิ้งไปไหน พอเกิดมาเราก็เก็บเอาความ
เจ็บ ความแก่ ความตายมาพร้อมกัน
ดูอาการที่มันเสื่อมร่างกายของเรานี้ทุกส่วนมันเสื่อม
ผมมันก็เสื่อมไป ขนมันก็เสื่อมไป เล็บมันก็เสื่อมไป หนังมัน
ก็เสื่อมไป อะไรทุกอย่างมันเสื่อมไปทั้งนั้น เสื่อมไปตาม
ธรรมชาติของมัน
ลูกคน - ลูกกระสุน
ลูกกระสุนยิงโป้งออกไปข้างนอก ลูกคนยิงโป้งมา
โดนที่ใจเรานี้ ดีก็มาถูกตัวนี้ ชั่วก็มาถูกตัวนี้
อย่างนี้เรียกว่ามันเป็นกรรม ลูกเรานั่นแหละ มีคนดี มี
คนชั่ว ทั้งดีทั้งชั่ว ก็เป็นลูกเราทั้งนั้น เขาเกิดมาแล้ว ดูซิคนที่
ไม่ดีขนาดไหนก็ยิ่งรัก เกิดมาเป็นโรคโปลิโอ ขาเป๋ ดูซิรักคน
นี้กว่าเขาแล้ว จะออกไปจากบ้าน เพราะรักคนนี้จึงต้องสั่งว่า
ดูน้อง ดูคนนี้ด้วยเถิด เมื่อจะตายจากไป ก็สั่งไว้ให้ดู ให้ดู
คนนี้ ดูลูกฉันคนนี้ มันไม่แข็งแรง ยิ่งรักมันมาก
ไก่ป่า
ยกตัวอย่างง่าย ๆ อย่างไก่ป่า เราก็รู้จักทุกคนว่าไก่ป่า
นั้นเป็นอย่างไร สัตว์ในโลกนี้ที่จะกลัวมนุษย์ยิ่งไปกว่าไก่ป่า
นั้นไม่มีแล้ว เมื่ออาตมาอยู่ในป่านี้ครั้งแรก ก็เคยสอนไก่ป่า
เคยเฝ้าดูมันแล้วก็ได้ความรู้จากไก่ป่าหลายอย่าง
ครั้งแรกมันมาเพียงตัวเดียว เดินผ่านมา เราก็เดิน
จงกรมอยู่ในป่า มันจะเข้ามาใกล้ ไม่มองมัน มันจะทำอะไร
ก็ไม่มองมัน ไม่ทำกิริยาอันใดกระทบกระทั่งมันเลย ต่อไปก็
ลองหยุดมองดูมัน พอสายตาเราไปถูกมันเข้า มันวิ่งหนีเลย
แต่พอเราไม่มอง มันก็คุ้ยเขี่ยอาหารกินตามเรื่องของมัน แต่
มองทีไร ก็วิ่งหนีเมื่อนั้น นานเข้าสักหน่อย มันคงเคยเห็น
ความสงบของเรา จิตใจของมันก็เลยว่าง แต่พอหว่านข้าวให้
เท่านั้นไก่มันก็เลยหนีเลย ช่างมันก็หว่านทิ้งไว้อย่างนั้นแหละ
เดี๋ยวมันก็กลับมาที่ตรงนั้นอีกแต่ยังไม่กล้ากินข้าวที่หว่านไว้ให้
มันไม่รู้จัก นึกว่าเราจะไปฆ่าไปแกงมัน เราก็ไม่ว่ากระไร กิน
ก็ช่าง ไม่กินก็ช่าง ไม่สนใจกับมัน
ไม่ช้ามันก็คุ้ยเขี่ยหากินตรงนั้น มันคงเริ่มมีความ
รู้สึกของมัน แล้ววันต่อมามันก็มาตรงนั้นอีก มันก็ได้กินข้าว
อีก พอข้าวหมด ก็หว่านไว้ให้อีก มันก็วิ่งหนีอีก แต่เมื่อทำซ้ำ
อยู่อย่างนี้เรื่อย ๆ ตอนหลังมันก็เพียงแต่เดินหนีไปไม่ไกล
แล้วก็กลับมากินข้าวที่ให้นั้น นี่ก็ได้เรื่องแล้ว
ตอนแรกไก่มันเห็นข้าวสารเป็นข้าศึก
เพราะมันไม่รู้จัก เพราะมันดูไม่ชัด มันจึงวิ่งหนีเรื่อยไป ต่อมามัน
เชื่องเข้า จึงกลับมาดูตามความเป็นจริง ก็เห็นว่า นี่ข้าวสาร นี่
ไม่ใช่ข้าศึกไม่มีอันตราย มันก็มากินจนตลอดทุกวันนี้ นี่เรียก
ว่า เราก็ได้ความรู้จักมัน เราก็เหมือนกันฉันนั้น รูปเสียง กลิ่น
รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์นี้ เป็นเครื่องให้เรารู้ธรรมะ เป็น
ที่ให้ ข้อคิดแก่ผู้ปฏิบัติทั้งหลาย ถ้าเราเห็นชัดตามความเป็น
จริงแล้วก็จะเป็นอย่างนี้ ถ้าเห็นไม่ชัดก็จะเป็นข้าศึกต่อเรา
ตลอดไป แล้วเราก็จะหนีไปอยู่เรื่อย ๆ
ต้นคือปลาย
เมื่อเราเกิดมาแล้วโยมก็คือเราตายแล้วนั่นเอง ความ
แก่กับความตายมันก็คืออันเดียวกันนั่นแหละ เหมือนกับ
ต้นไม้ อันหนึ่งต้น อันหนึ่งปลาย เมื่อมีโคนมันก็มีปลาย เมื่อ
มีปลายมันก็มีโคน ไม่มีโคน ปลายก็ไม่มี มีปลายก็ต้องมีโคน
มีแต่ปลาย โคนไม่มีก็ไม่ได้ มันเป็นอย่างนั้น
เพราะฉะนั้น ก็นึกขำเหมือนกันนะ มนุษย์เราทั้ง
หลายเมื่อจะตายแล้วก็โศกเศร้า วุ่นวาย นั่งร้องไห้ เสียใจ
สารพัดอย่าง หลงไปสิ โยมมันหลงนะ พอคนตายก็ร้องไห้
พิไรรำพัน แต่ไหนแต่ไรมาไม่ค่อยได้พิจารณาให้ชัดแจ้งนะ
ความเป็นจริงแล้ว อาตมาขอโทษด้วยนะ อาตมาเห็นว่า ถ้า
จะร้องไห้กับคนตายน่ะ ร้องไห้กับคนที่เกิดมาดีกว่า แต่มัน
กลับกันเสีย ถ้าคนเกิดมาแล้วโยมทั้งหลายก็หัวเราะดีอกดีใจ
กันชื่นบาน ความเป็นจริงเกิดนั่นล่ะคือตาย ตายนั่นล่ะก็คือ
เกิด ต้นก็คือปลาย ปลายก็คือต้น
ใบไม้
ขณะนี้เรานั่งอยู่ในป่าที่สงบ ที่นี่ไม่มีลม ใบไม้จึงนิ่ง
เมื่อใดที่มีลมพัด ใบไม้จึงไหวปลิว
จิตก็ทำนองเดียวกับใบไม้ เมื่อสัมผัสกับอารมณ์มัน
ก็สะเทือนไปตามธรรมชาติของจิต เรายิ่งรู้ธรรมะน้อยเพียงไร
ใจก็จะรับความสะเทือนได้มากเพียงนั้น รู้สึกเป็นสุข ก็ตาย
ด้วยความสุข รู้สึกเป็นทุกข์ ก็ตายด้วยความทุกข์อีก มันจะ
ไหลไปเรื่อย ๆ
น้ำเจือสี
ใจของเราขณะที่เป็นปกติอยู่ เปรียบเหมือนน้ำฝน
เป็นน้ำที่สะอาด มีความใสสะอาดบริสุทธิ์เป็นปกติ
ถ้าเราเอาสีเขียวใส่ลงไป เอาสีเหลืองใส่เข้าไป น้ำก็
จะกลายเป็นสีเขียว สีเหลืองไป
จิตของเรานี้ก็เหมือนกัน เมื่อไปถูกอารมณ์ที่ชอบใจ
ใจก็ดีใจก็สบาย เมื่อถูกอารมณ์ที่ไม่ชอบใจแล้ว ใจนั้นก็ขุ่นมัว
ไม่สบาย เหมือนกันกับน้ำที่ถูกสีเขียวก็เขียวไป ถูกสีเหลืองก็
เหลืองไป เปลี่ยนสีไปเรื่อย
อนาถา
จิตของเรานี้เมื่อไม่มีใครตามรักษามันก็เหมือนคนที่
ปราศจากพ่อแม่ที่จะดูแล เป็นคนอนาถา เป็นคนที่ขาดที่พึ่ง
คนที่ขาดที่พึ่งก็เป็นทุกข์ จิตนี้ก็เหมือนกัน ถ้าหาก
ขาดการอบรมบ่มนิสัยทำความเห็นให้ถูกต้องแล้ว จิตนี้ก็
ลำาบากมาก
ยกแล้วหนัก
เมื่อทุกข์เกิดขึ้นมาก็รู้จักว่ามันทุกข์ ทุกข์นี่มันเกิดขึ้น
มาเพราะอะไร มันจะเห็นอะไรไหม ถ้าเราเห็นตามธรรมดา
มันก็ไม่ทุกข์ เช่นว่าเราอยู่อย่างนี้ เราก็สบาย อีกวาระหนึ่งเรา
อยากได้กระโถนใบนี้ เรายกมันขึ้นมา ต่างแล้ว ต่างกว่าแต่
ก่อนที่ยังไม่ได้ยกกระโถน ถ้าไปยกกระโถนขึ้นมา มีความรู้สึก
ว่ามันหนักเพิ่มขึ้นมา มันมีเหตุ หนักมันจะเกิดเพราะอะไร
ถ้าไม่ใช่เพราะเราไปยกมัน ถ้าเราไม่ยกมัน มันก็ไม่มีอะไร ถ้า
ไม่ยกมันก็เบา อะไรเป็นเหตผล ดูเท่านี้ก็รู้แล้ว ไม่ต้องไป
เรียนที่ไหน ถ้าเราไป ยึด อะไร อันนั้นแหละเป็นเหตุให้ทุกข์
เกิด ถ้าเรา ปล่อย มันก็ไม่มีทุกข์
ฉีดยา
นี้คือทุกข์ ทุกข์ธรรมดาก็อย่างหนึ่ง ทุกข์ที่เหนือ
ธรรมดาก็อีกอย่างหนึ่ง ทุกข์ประจำสังขารนี้ ยืนก็เป็นทุกข์
นั่งก็เป็นทุกข์ นอนก็เป็นทุกข์ อย่างนี้เป็นทุกข์ธรรมดา ทุกข์
ประจำสังขาร พระพุทธเจ้าท่านก็มีเวทนาอย่างนี้ มีสุขอย่างนี้
มีทุกข์อย่างนี้ แต่ท่านก็รู้จักว่าอันนี้เป็นธรรมดา สุข ทุกข์
ธรรมดาทั้งหลายเหล่านี้ ท่านระงับมันได้ เพราะท่านรู้จัก
เรื่องของมัน รู้จักทุกข์ธรรมดา มันเป็นของมันอย่างนั้น ไม่
รุนแรง ท่านให้ระวังทุกข์ที่มันจรมา ทุกข์ที่เหนือธรรมดา
เปรียบประหนึ่งว่าเราเป็นไข้เอายาไปฉีด ฉีดเข้าไปในร่างกาย
เข็มฉีดยานั้นมันทะลุเข้าไปในเนื้อหนัง เรารู้สึกเจ็บนิดหน่อย
เป็นธรรมดา ไม่เป็นอะไร ทุกคนจะต้องเป็นอย่างนี้ ทุกข์ที่ไม่
ธรรมดานั้น คือทุกข์ที่เรียกว่า อุปาทาน เข้าไปยึดมั่นถือมั่นไว้
เปรียบประหนึ่งว่าเอาเข็มฉีดยาไปอาบยาพิษ แล้วก็ฉีดเข้าไป
นี่ไม่ใช่เจ็บธรรมดาแล้ว ไม่ใช่ทุกข์ธรรมดาแล้ว เจ็บจนตาย
เศษเนื้อติดฟัน
เรื่องกามทั้งหลายนี้นะมันออกได้ยาก ไม่แปลกอะไร
กับเราฉันเนื้อ เนื้อมันยัดเข้าไปในฟันของเรา แหม!มันปวด
มันเจ็บ(รำคาญ) ฉันข้าวยังไม่เสร็จก็ต้องเอาไม้จิ้มมันออก
เนื้อมันหลุดไปจากฟัน เราก็สบายไปพักหนึ่ง แล้วไม่อยาก
ฉันเนื้ออีก แต่พอเห็นเนื้อมาก็ฉันอีก ก็อุดอีก ก็เอาไม้จิ้ม
ออกอีก ก็สบายนิดหนึ่งอีก เท่านั้นแหละเรื่องของกามไม่ใช่
อื่น ไม่มากกว่าเนื้อมันอุดซี่ฟัน ทุรนทุรายอึดอัด อึดอัด เอา
มันออกสักนิดหนึ่งโดยเท่านั้นแหละ ไม่รู้ว่ามันเรื่องอะไร บ้าๆ
บอ ๆ
หิวกามจนตาย
เหมือนบุรุษหนึ่งหิวน้ำจัด เพราะเดินทางไกลมาขอ
น้ำกิน เจ้าของน้ำก็บอกว่าน้ำนี้จะกินก็ได้ สีมันก็ดี กลิ่นมัน
ก็ดี รสมันก็ดี แต่ว่ากินเข้าไปแล้วมันเมานะบอกให้รู้เสียก่อน
เมาจนตายหรือเจ็บเจียนตายนั่นแหละแต่บุรุษผู้หิวน้ำก็ไม่ฟัง
เพราะหิวมาก
เหมือนคนไข้หลังผ่าตัดที่ถูกหมอบังคับให้อดน้ำก็ร้องขอน้ำกิน
คนหิวในกามก็เหมือนกัน หิวในรูป ในเสียง ในกลิ่น
ในรส ล้วนเป็นพิษ
พระพุทธเจ้าทรงบอกไว้ว่ารูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ
ธรรมารมณ์นั้น มันเป็นพิษ เป็นบ่วง ก็ไม่ฟังกัน เหมือนกับ
บุรุษผู้หิวน้ำผู้นั้นที่ไม่ยอมฟังคำเตือนเพราะความหิวกระหาย
มันมีมาก ถึงจะต้องทุกข์ยากลำบากเพียงใดก็ขอให้ได้กิน
น้ำเถอะ เมื่อได้กินได้ดื่มแล้วมันจะเมาจนตายหรือเจียนตาย
ก็ช่างมัน จับจอกน้ำได้ก็ดื่มเอา ๆ เหมือนกับคนหิวในกามก็
กินรูป กินเสียง กินกลิ่น กินรส กินโผฏฐัพพะ กินธรรมารมณ์
รู้สึกอร่อยมาก ก็กินเอา ๆ หยุดไม่ได้ กินจนตาย ตายคากาม
แหย่รังมดแดง
เรื่องกามนี้ คล้าย ๆ กับรังมดแดงใหญ่เอาไม้ไปแหย่
ยิ่งแหย่ ยิ่งหล่นใส่ มดมันหล่นใส่หน้าใส่ตา แสบหูแสบตา
ยังไม่เห็นโทษมัน เราไม่เห็นโทษมัน มันก็ดีทั้งนั้น ให้เข้าใจ
ว่าถ้ายังไม่เห็นโทษในสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น ก็ออกจากสิ่งทั้ง
หลายเหล่านั้นไม่ได้
กบกินเบ็ด
สัตว์ทั้งหลายเมื่อไปติดบ่วงเข้าแล้วลำบาก มันผูกไว้
ดึงไว้ รอจนเจ้าของแร้วมา เหมือนกับนกไปติดแร้วเข้า แร้ว
มันรัดถูกคอดิ้นไปไหนก็ไม่หลุดดิ้นปัดไปปัดมาอย่างนั้นแหละ
มันผูกไว้คอยนายพรานเจ้าของแร้ว ครั้นเจ้าของมาเห็นก็จบ
เรื่อง นั่นแหละพญามาร นกกลัวมาก สัตว์ทั้งหลายกลัวมาก
เพราะหนีไปไหนไม่พ้น
บ่วงก็เช่นกัน รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์
เป็นบ่วงผูกเอาไว้ เมื่อเราติดในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ
ธรรมารมณ์ก็หมือนกันกับปลากินเบ็ด รอให้เจ้าของเบ็ดมา
ดิ้นไปไหนก็ไม่หลุด อันที่จริงแล้ว มันยิ่งกว่าปลากินเบ็ด ต้อง
เปรียบได้กับกบกินเบ็ดเพราะกบกินเบ็ดนั้น มันกินลงไปถึง
ไส้ถึงพุง แต่ปลากินเบ็ด ก็กินอยู่แค่ปาก
รูลึกหรือว่าแขนสั้น
คำสอนของพระ ตรง ง่าย แต่ยากกับคนที่จะปฏิบัติ
เพราะรู้ไม่ถึง เหมือนกับรู คนตั้งร้อยพันคนโทษว่ารู้มันลึก
เพราะล้วงไปไม่ถึง ที่จะว่าแขนของตนสั้นไม่ค่อยมี
พระพุทธเจ้าท่านทรงสอนไม่ให้ทำบาปทั้งปวง
ข้ามไปพากันทำบุญ แต่ไม่พากันละบาป ก็เท่ากับว่ารูมันลึก
ที่จะว่าแขนของตนสั้นนั้นไม่มี
โฮ่ง ๆ ๆ
อาตมาเคยเห็นหมาตัวหนึ่ง เอาข้าวให้มันกิน มันกิน
แล้วกินไม่หมด มันก็นอนเฝ้าอยู่ตรงนั้น อิ่มจนกินไม่ได้แล้ว
ก็ยังนอนเฝ้าอยู่ตรงนั้นแหละ นอนซึม ประเดี๋ยวก็ชำเลืองตา
ดูอาหารที่เหลือ ถ้าหมาตัวอื่นจะมากิน ไม่ว่าตัวเล็กตัวใหญ่ก็ขู่
โอ้! ไก่จะมากินก็โฮ่ง ๆ ๆ ท้องจะแตกอยู่แล้ว จะให้เขากิน
ก็ไม่ได้ หวงไว้
มาดูคนก็เหมือนกัน ถ้าไม่รู้จักธัมมะธัมโม ก็ไม่รู้จัก
ผู้น้อยผู้ใหญ่ ถูกกิเลสคือโลภะ โทสะ โมหะ เข้าครอบงำจิตใจ
แม้จะมีสมบัติมากมายก็หวงไว้ ไม่รู้จักเฉลี่ยเจือจาน แม้แต่
จะให้ทานแก่เด็กยากจนหรือคนชราที่ไม่มีจะกินก็ยาก อาตมา
มาคิดดูว่า มันเหมือนสัตว์จริงหนอ คนพวกนี้ไม่มีคุณสมบัติ
ของมนุษย์เลย พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า มนุษย์เดรัจฉาโน
มนุษย์เหมือนสัตว์เดรัจฉาน เป็นอย่างนั้น เพราะขาดความ
เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา
สุนัขบนกองข้าวเปลือก
เปรียบกับสุนัขนอนอยู่บนกองข้าวเปลือก ท้องร้อง
จ๊อก จ๊อก มันก็นอนอยู่ จิตวิตก จะไปกินที่ไหนหนอ ท้อง
มันหิว ก็โจนออกไปจากกองข้าวเปลือก วิ่งไปหาเศษอาหาร
อาหารมีอยู่ แต่มันไม่รู้จัก เพราะไม่เห็นข้าว มันกิน
ข้าวเปลือกไม่ได้
ความรู้มีอยู่ ไม่ปฏิบัติก็ไม่รู้เรื่อง โง่ขนาดสุนัขมัน
นอนบนกองข้าวเปลือก น่าสงสาร
ข้าวสารมีอยู่แต่เปลือกมันปิด เหมือนกับวิมุตติมีอยู่
แต่สมมติมันปิด
มัจจุราช-เจ้าของไก่
อยู่อย่างไก่ไม่รู้เรื่อง ตอนเช้าไก่ก็พาลูกคุ้ยเขี่ยหากิน
ไป เย็นมาก็เข้าเล้านอน พรุ่งนี้ก็คุ้ยหากินไปอีก เจ้าของเขา
โปรยข้าวให้กินทุกวัน มันก็ไม่รู้ว่าเขาเลี้ยงมันไว้ทำไม ไก่กับ
เจ้าของไก่มันคิดกันคนละอย่างกัน
เจ้าของก็คิดแต่ว่าไก่มันหนักกี่กิโลแล้ว ไก่ก็เพลิน
กับอาหาร เจ้าของอุ้มน้ำหนักก็คิดว่าเขารัก
เราเองก็ไม่รู้เรื่อง ไม่ว่ามาจากไหน จะอยู่ไปอีกกี่ปี
จะไปทางไหน ใครเป็นผู้พาไปไม่รู้เรื่อง มัจจุราช คือความตายน่ะ
เหมือนเจ้าของไก่
มัจจุราชจะตามมาถึงเมื่อไหร่ไม่รู้ เพราะมัวแต่เพลิน เพลิน
กับรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ไม่รู้จักแก่
ไม่รู้จักพอ
หัวงู หางงู
มนุษย์เราทั้งหลายไม่ต้องการทุกข์ ต้องการแต่สุข
ความจริงสุขนั้นก็คือทุกข์อย่างละเอียดนั่นเอง ส่วนทุกข์ก็คือ
ทุกข์อย่างหยาบ พูดอย่างง่าย ๆ สุขและทุกข์นี้ก็เปรียบ
เสมือนงูตัวหนึ่ง ทางหัวมันเป็นทุกข์ ทางหางมันเป็นสุข
เพราะถ้าลูบทางหัวมันมีพิษทางปากมันมีพิษไปใกล้ทางหัวมัน
มันก็กัดเอา ไปจับหางมันก็ดูเหมือนเป็นสุข แต่ถ้าจับไม่วาง
มันก็หันกลับมากัดได้เหมือนกัน เพราะทั้งหัวงูและหางงูมันก็
อยู่ในงูตัวเดียวกัน
ความดีใจ ความเสียใจ มันก็เกิดจากพ่อแม่เดียวกัน
คือ ตัณหาความลุ่มหลงนั่นเอง ฉะนั้น บางทีเมื่อมีสุขแล้วใจ
ก็ยังไม่สบาย ไม่สงบ ทั้งที่ได้สิ่งที่พอใจแล้ว เช่น ได้ลาภ ยศ
สรรเสริญ ได้มาแล้วดีใจก็จริง แต่มันก็ยังไม่สงบจริง ๆ เพราะ
ยังมีความเคลือบแคลงใจว่ามันจะสูญเสียไป กลัวมันจะหาย
ไป ความกลัวนี่แหละเป็นต้นเหตุให้มันไม่สงบ บางทีมันเกิด
สูญเสียไปจริงๆ ก็ยิ่งเป็นทุกข์มาก นี่หมายความว่าถึงจะสุขก็
จริง แต่ก็มีทุกข์ดองอยู่ในนั้นด้วย แต่เราไม่รู้จัก เหมือนกัน
กับว่าเราจับงู ถึงว่าเราจับหางมันก็จริง ถ้าจับไม่วางมันก็หัน
กลับมากัดได้
ฉะนั้น หัวงูก็ดี หางงูก็ดี บาปก็ดี บุญก็ดี อันนี้อยู่
ในวงวัฏฏะหมุนเวียนเปลี่ยนแปลง ดังนั้น ความสุข ความทุกข์
ความดี ความชั่ว ก็ไม่ใช่หนทาง
หมาขี้เรื้อน
พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลายท่านเห็นไหม
ว่าเมื่อตอนเย็นวันนี้ หมาป่าตัวหนึ่งมันเดินอยู่ที่นี่ เห็นไหม?
มันจะยืนอยู่มันก็เป็นทุกข์ มันจะวิ่งไปมันก็เป็นทุกข์ มันจะ
นั่งอยู่ก็เป็นทุกข์ มันจะนอนอยู่ก็เป็นทุกข์ เข้าไปในโพรงไม้
มันก็เป็นทุกข์จะเข้าไปอยู่ในถ้ำก็ไม่สบายมันก็เป็นทุกข์เพราะ
มันเห็นว่าการยืนอยู่นี้ไม่ดี การนั่งไม่ดี การนอนไม่ดี พุ่มไม้นี้
ไม่ดี โพรงไม้นี้ไม่ดี ถ้ำนี้ไม่ดี มันก็วิ่งอยู่ตลอดเวลานั้น ความ
เป็นจริงหมาป่าตัวนั้นมันเป็นขี้เรื้อนมันไม่ใช่เป็นเพราะพุ่มไม้
หรือโพรงไม้หรือถ้ำ หรือการยืน การเดิน การนั่ง การนอน มัน
ไม่สบายเพราะมันเป็นขี้เรื้อน”
พระภิกษุทั้งหลายนี้ก็เหมือนกัน ความไม่สบายนั้นคือ
ความเห็นผิดที่มีอยู่ ไปยึดธรรมที่มีพิษไว้มันก็เดือดร้อน ไม่
สำรวมสังวรอินทรีย์ทั้งหลาย แล้วก็ไปโทษแต่สิ่งอื่น ไม่รู้เรื่อง
ของเจ้าของเอง ไปอยู่วัดหนองป่าพงก็ไม่สบาย ไปอยู่อเมริกา
ก็ไม่สบาย ไปอยู่กรุงลอนดอนก็ไม่สบาย ไปอยู่วัดป่าบุ่งหวาย
ก็ไม่สบาย ไปอยู่ทุกๆ สาขาก็ไม่สบาย ที่ไหนก็ไม่สบาย นี่ก็
คือความเห็นผิดนั้นยังมีอยู่ในตัวเรานั่นเอง มีความเห็นผิด
ยังไปยึดมั่นถือมั่นในธรรมอันมีพิษไว้ในใจของเราอยู่ อยู่
ที่ไหนก็ไม่สบายทั้งนั้น นั่นคือเหมือนกันกับสุนัขนั้น ถ้าหาก
โรคเรื้อนมันหายแล้ว มันจะอยู่ที่ไหนมันก็สบาย อยู่กลางแจ้ง
มันก็สบาย อยู่ในป่ามันก็สบายอย่างนี้ ผมนึกอยู่บ่อย ๆ แล้ว
ผมก็นำมาสอนพวกท่านทั้งหลายอยู่เรื่อย เพราะธรรมตรงนี้
มันเป็นประโยชน์มาก
หนอน
ถ้ามีความเห็นถูกขึ้นในใจของเราแล้ว อยู่ที่ไหนก็
สบาย แต่เพราะเรายังมีความเห็นผิดอยู่ ยึดธรรมอันมีพิษอยู่
แล้วมันก็ไม่สบาย ที่เรายึดอยู่อย่างนี้ ก็เหมือนกับตัวหนอน
นั่นแหละ ที่อยู่ของมันก็สกปรก อาหารของมันก็สกปรก
ที่อยู่และอาหารของมันไม่ดีทั้งนั้น มันไม่สมควร แต่ว่ามัน
สมควรกับหนอน ลองเอาไม้ไปเขี่ยมันออกจากสูตร ออก
จากคูถ ดูสิ ตัวหนอนนั้นมันจะดิ้นกระเสือกกระสนไปที
เดียว มันจะดิ้นมาหากองคูถอย่างเก่า มันจึงจะสบาย อันนี้
ก็เหมือนกันฉันนั้น
พระภิกษุสามเณรเราทั้งหลายนั้น ยังมีความเห็นผิด
อยู่ ครูบาอาจารย์มาแนะนำให้เห็นถูก มันก็ไม่สบายใจ มัน
วิ่งไปหากองคูถอยู่เรื่อย ๆ มันไม่สบายเพราะตรงนั้นเป็น
ที่อยู่ของมัน เมื่อหนอนนั้นมันยังมองไม่เห็นความสกปรกอยู่
ในที่นั้น เมื่อนั้นมันก็ออกไม่ได้ พวกเราทั้งหลายก็เหมือน
กันฉันนั้น ถ้าไม่เห็นโทษทั้งหลายในสิ่งเหล่านั้น มันก็ออก
ไม่ได้ ปฏิบัติมันก็ยากลำบาก
แม่น้ำ
เหมือนน้ำในแม่น้ำที่มันไหลลงไปในทางที่ลุ่ม มันก็
ไหลไปตามสภาพอย่างนั้น อย่างแม่น้ำอยุธยา แม่น้ำมูล แม่
น้ำอะไรๆ ก็ตามเถอะ มันก็ต้องมีการไหลลงไปทางใต้ทั้งนั้น
แหละ มันไม่ไหลขึ้นไปทางเหนือหรอก ธรรมดามันเป็นอย่าง
นั้น สมมติว่าบุรุษคนหนึ่งไปยืนอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ แล้วก็มองดู
กระแสของแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวไปทางใต้ แต่บุรุษนั้นมีความคิด
ผิด อยากจะให้น้ำมันไหลขึ้นไปทางเหนือ อย่างนี้เป็นต้น เขา
ก็เป็นทุกข์ เขาคนนั้นจะไม่มีความสงบเลย ถึงแม้จะยืน จะ
เดิน จะนั่ง จะนอน เขาก็ไม่มีความสงบ เพราะอะไรล่ะ เพราะ
บุรุษนั้นคิดผิด
ยา
เปรียบเหมือนหมอยายื่นขวดยาให้คนไข้ข้างนอกขวด
เขาเขียนบอกสรรพคุณของยาไว้ว่าแก้โรคชนิดนั้น ๆ ส่วนตัว
ยาแก้โรคนั้นอยู่ข้างในขวด คนไข้มัวอ่านสรรพคุณของยาที่
ติดไว้ข้างนอกขวด อ่านไปตั้งร้อยครั้ง พันครั้ง คนไข้ผู้นั้นจะ
ต้องตายเปล่าโดยไม่ได้รับประโยชน์จากตัวยานั้นเลย แล้ว
เขาจะมาร้องตีโพยตีพายว่าหมอไม่ดี ยาไม่มีสรรพคุณ แก้
โรคไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่ตัวเองไม่เคยเปิดจุกขวดกินยานั้นเลย
เป็ดกับไก่
คนสองคนเห็นเป็ดตัวหนึ่ง ไก่ตัวหนึ่ง คนหนึ่งคิด
อยากจะให้ไก่เป็นเป็ด เป็ดเป็นไก่ มันก็เป็นไปไม่ได้ ในชั่ว
ชีวิตหนึ่งมันก็ไม่เป็นให้ ถ้าคนนี้คิดอย่างนี้ไม่หยุดก็ต้องทุกข์
คนที่สองเห็นเป็ดก็เป็นเป็ด ไก่ก็เป็นไก่ นั่นแหละ ปัญหาไม่มี
เห็นถูกแล้วไม่ทุกข์อย่างนี้ก็เหมือนกัน อนิจจังเป็นของไม่เที่ยง
อยากให้มันเที่ยง เมื่อมันไม่เที่ยงเมื่อไร ก็เสียใจเมื่อนั้น ถ้า
ใครเห็นว่าอนิจจังเป็นของไม่เที่ยงอย่างนั้น คนนั้นก็สบาย
ไม่มีปัญหา
ตั้งแต่วันที่เราเกิดมา เราเดินหนีจากความจริง ไม่
อยากจะให้เป็นอย่างนี้ ห้ามมันก็ไม่ได้ มันก็เป็นของมันอยู่
อย่างนี้ จะให้เป็นอย่างอื่นมันก็เป็นไม่ได้ เหมือนกับเป็ดจะ
ให้มันเหมือนไก่ มันก็ไม่เหมือน เพราะมันเป็นเป็ด ไก่จะให้
เหมือนเป็ด ก็เป็นไปไม่ได้ เพราะมันเป็นไก่ ถ้าใครคิดก็ทุกข์
ถ้าคิดว่า “เออ! มันก็เป็นของมันอย่างนั้น” คิดเช่นนี้เราจะมี
กำลัง เพราะสกนธ์ร่างกายนี้จะให้มันยืนนานถาวรไปเท่าไร ๆ
ก็ไม่ได้
ถ้วยน้าสกปรก
ทิฏฐิ คือ ความเห็นและความนึกคิดเกี่ยวกับสิ่งทั้ง
ปวง เกี่ยวกับตัวเขาเอง เกี่ยวกับการปฏิบัติภาวนา เกี่ยวกับ
คำสอนของพระพุทธเจ้า หลาย ๆ ท่านที่มาที่นี่ มีตำแหน่ง
การงานสูงในสังคม บางคนเป็นพ่อค้าที่มั่งคั่ง หรือได้ปริญญา
ต่าง ๆ ครูและข้าราชการ สมองเขาเต็มไปด้วยความคิดเห็น
ต่อสิ่งต่าง ๆ เขาฉลาดเกินกว่าที่จะฟังผู้อื่น เปรียบเหมือนน้ำ
ในถ้วย ถ้าถ้วยมีน้ำสกปรกอยู่เต็ม ถ้วยนั้นก็ใช้ประโยชน์
อะไรไม่ได้ เมื่อได้เทน้ำเก่านั้นทิ้งไปแล้วเท่านั้น ถ้วยนั้นก็จะ
ใช้ประโยชน์ได้ ท่านต้องทำจิตให้ว่างจากทิฏฐิ แล้วท่านจึงจะ
ได้เรียนรู้ การปฏิบัติของเรานั้นก้าวเลยความฉลาดหรือความ
โง่ ถ้าท่านคิดว่า “ฉันเก่ง ฉันรวย ฉันเป็นคนใหญ่คนโต ฉัน
เข้าใจพระพุทธศาสนาแจ่มแจ้งทั้งหมด” เช่นนี้แล้ว ท่านจะไม่
เห็นความจริงในเรื่องของอนัตตาหรือความไม่ใช่ตัวตน ท่าน
จะมีแต่ตัวตน ตัวฉัน ของฉัน แต่พระพุทธศาสนาคือการละ
ตัวตน เป็นความว่าง เป็นความไม่มีทุกข์ เป็นความดับสนิท
คือนิพพาน
สอยมะม่วง
มะม่วงมันอยู่สูงห้าเมตร เราอยากได้ เอาไม้สิบ
เมตรมาสอยไม่ได้ มันยาวเกินไป เอาไม้สองเมตรมาสอยมัน
ก็ไม่ได้ ไม่พอดี มันสั้นเกินไป
เราอย่าเข้าใจว่าคนจบ
ดอกเตอร์มาปฏิบัติสบายเหลือเกิน เพราะเรียนรู้มาพอแล้ว
อย่าเข้าใจอย่างนั้น ดอกเตอร์มันยาวเกินไปก็ได้
เกลือไม่เค็ม
พระรูปหนึ่งบอกว่าเป็นนักปฏิบัติ เมื่อมาขออยู่กับ
อาตมาถามถึงระเบียบปฏิบัติ อาตมาจึงอธิบายให้ฟังว่า “เมื่อ
มาอยู่กับผม จะสะสมเงินทองและสิ่งของไม่ได้ผมถือตามวินัย”
ท่านพูดว่า “ท่านปฏิบัติไม่ยึดไม่หมาย”
อาตมาบอกว่า “ผมไม่ทราบกับท่าน”
ท่านเลยถามว่า “ถ้าผมจะใช้เงินทอง แต่ไม่ยึดไม่
หมายจะได้ไหม”
อาตมาตอบว่า “ได้ ถ้าท่านเอาเกลือมากินดูแล้วไม่
เค็มก็ใช้ได้ ท่านจะพูดเอาเฉย ๆ เพราะท่านขี้เกียจรักษาของ
จุก ๆ จิก ๆ นี่มันยาก เมื่อเอาเกลือมากินท่านไม่เค็มแล้ว
ผมจึงเชื่อถ้ามันไม่เค็มจะเอามาให้กินสักกะทอ (เข่งเล็ก) ลองดู
มันจะไม่เค็มจริง ๆ หรือ เรื่องไม่ยึดไม่หมายนี้ ไม่ใช่ เรื่อง
พูดเอง คาดคะเนเอา ไม่ใช่ ถ้าท่านพูดอย่างนี้อยู่กับผมไม่ได้”
ท่านจึงลาไป
ทางเปลี่ยว
อะไรทุกอย่างถ้าไม่มีเหตุผลเพียงพอในใจของเราเอง
ก็ยังไม่ปล่อยวาง คือว่า มีสองข้าง นี่ข้างหนึ่ง นี่ก็ข้างหนึ่ง คน
เรานั้นจะแอบเดินมาข้างนี้หรือแอบเดินไปข้างนั้น ที่เดินไป
กลางๆ ไม่ค่อยเดินหรอก มันเป็นทางเปลี่ยว เดี๋ยวรักก็ไป
ทางรัก พอฟังก็ไปทางชัง จะปล่อยการรักการดังนี้ไป มัน
เป็นทางเปลี่ยว มันไม่ยอมไป
หนาม
สิ่งทั้งหลายทั้งปวงมันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น มัน
มิได้ให้ทุกข์แก่เรา เช่นเดียวกับหนาม หนามที่แหลม ๆ มัน
ให้ทุกข์แก่เราไหม? เปล่า มันเป็นหนามอยู่อย่างนั้น มิได้ให้
ทุกข์แก่ผู้ใด ถ้าเราไปเหยียบมันเข้าก็ทุกข์ทันที
ทำไมจึงเป็นทุกข์ เพราะไปเหยียบมัน จึงว่าเป็นเพราะเรา
แบกก้อนหิน
“การปล่อยวาง” ความจริงมันหมายความอย่างนี้
อุปมาเหมือนเราแบกก้อนหินหนักอยู่ก้อนหนึ่ง แบกไปก็
รู้สึกหนัก แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรกับมัน ก็ได้แต่แบกอยู่นั่น
แหละ พอมีใครบอกว่าให้โยนมันทิ้งเสียซิ ก็มาคิดอีกแหละว่า
เอ๊ะ! ถ้าเราโยนมันทิ้งเสียแล้ว เราก็ไม่มีอะไรเหลือน่ะซิ ก็เลย
แบกอยู่นั่นแหละ ไม่ยอมทิ้ง
ถึงจะมีใครบอกว่า โยนทิ้งไปเถอะ แล้วจะดีอย่างนั้น
เป็นประโยชน์อย่างนี้ เราก็ยังไม่ยอมโยนทิ้งอยู่นั่นแหละ
เพราะกลัวแต่ว่าจะไม่มีอะไรเหลือ ก็เลยแบกก้อนหินหนักไว้
จนเหนื่อยอ่อนเพลียเต็มที่จนแบกไม่ไหวแล้ว ก็เลยปล่อยมันตกลง
ตอนที่ปล่อยมันตกลงนี่แหละก็จะเกิดความรู้เรื่อง การปล่อยวาง ขึ้นมาเลย เราจะรู้สึกสบาย แล้วก็รู้สึกได้ด้วย
ตนเองว่า การแบกก้อนหินนั้นมันหนักเพียงใด แต่ตอนที่เรา
แบกอยู่นั้น เราไม่รู้หรอกว่า การปล่อยวาง มันมีประโยชน์
เพียงใด
เสี้ยน
พระพุทธองค์ทรงให้หนีด้วยปัญญา เปรียบประหนึ่ง
ว่า เรามีเสี้ยนหรือหนามน้อย ๆ ตำเท้าเราอยู่ เดินไปปวดบ้าง
หายปวดบ้าง บางทีก็เดินไปสะดุดหัวตอเข้า ปวดขึ้นมาก็คลำดู
คลำไปคลำมาไม่เห็นเลยขี้เกียจดูมันก็ปล่อยมันไป ต่อไปเดิน
ไปถูกปุ่มอะไรขึ้นมาก็ปวดอีก มันเป็นอย่างนี้เรื่อยไป
เพราะอะไรนะ เพราะเสี้ยนหรือหนามนั้นมันยังอยู่ในเท้าเรา
ยังไม่ออก ความเจ็บความปวดมันก็เป็นอยู่อย่างนั้น เมื่อมัน
ปวดมา ก็คลำหามัน ไม่เห็นก็ปล่อยไป นาน ๆ เจ็บอีกก็
คลำอีก อยู่อย่างนั้นเรื่อย ๆ ทุกข์ที่เกิดขึ้นมานั้นนะ เราต้อง
กำหนดรู้มัน ไม่ต้องปล่อยมันไป เมื่อมันเจ็บปวดขึ้นมา “เออ
ไอ้หนามนี่มันยังอยู่นี่นะ”
เมื่อความเจ็บปวดเกิดขึ้น ความคิดที่ว่าจะเอาหนาม
ออกจากเท้าเราก็มีพร้อมกันมา ถ้าเราไม่เอามันออก ความ
เจ็บปวดมันก็เกิดขึ้น เดี๋ยวก็เจ็บ เดี๋ยวก็เจ็บ อยู่อย่างนี้ ความ
สนใจที่จะเอาหนามออกจากเท้าเรามันมีอยู่ตลอดเวลา ผล
ที่สุดวันหนึ่งต้องตั้งใจเอาหนามออกให้ได้ เพราะมันไม่สบาย
อันนี้เรียกว่าการปรารภความเพียรของเราต้องเป็นอย่างนั้น
มันขัดตรงไหน มันไม่สบายตรงไหน ก็ต้องพิจารณาที่ตรงนั้น
แก้ไขที่ตรงนั้น แก้ไขหนามที่มันยอกเท้าเรานั่นแหละ งัดมัน
ออกเสีย
สุ่มปลา
ยังไม่เห็นโทษพอที่จะละมัน ไม่เห็นอานิสงส์ที่จะเกิดขึ้นมาได้
การงานอันนั้นจึงไม่สำเร็จประโยชน์ เอาเล็บเขี่ยเล่น
อยู่เฉย ๆ ถ้าเราเห็นโทษของมันอย่างชัดเจน เห็นอานิสงส์
ของการละมันอย่างชัดเจน เออ! เช่นคุณไปสุ่มปลา สุ่มไปเถอะ
รู้สึกว่ามีอะไรอยู่ในสุ่มของเรา มันดังคึกคัก ๆ เรานึกว่าปลา
เอามือล้วงลงไป ไปเจอสัตว์อีกชนิดหนึ่งที่มันอยู่ในน้ำ
ตาไม่เห็น แต่มีความรู้สึกในใจของเรานึกว่าเป็นปลาไหลบ้าง นึก
ว่าเป็นงูบ้างนะ จะทิ้งมันก็เสียดายมัน หากว่ามันเป็นปลา
ไหลแล้วก็เสียดาย จะจับไว้ถ้าหากว่ามันเป็นงูมันก็จะกัดเอา
นี่เข้าใจไหม สงสัยอยู่ไม่ชัดเจน ไอ้ความอยากนี่มันมาก
อุตส่าห์จับไว้ เผื่อมันจะเป็นปลาไหลนะ พอโผล่ขึ้นมาพ้นน้ำ
เห็นแสกคอมันลายวางเลยไม่มีใครมาบอกว่า “อันนั้นงูวางๆ”
ไม่มีใครบอกหรอก มันบอกมันเอง ยิ่งชัดกว่าเราบอกเสียด้วย
เพราะอะไร เพราะเห็นโทษว่างูมันกัดเป็น ใครจะไปบอกมัน
จิตนี้ ถ้าเราฝึกมันแล้ว รู้เช่นนั้นแล้ว มันไม่เอาหรอก
แมว
กิเลสนี่เหมือนแมวถ้าให้กินตามใจมันก็ยิ่งมาเรื่อย ๆ
แต่มีวันหนึ่งมันข่วนนะถ้าเราไม่ให้อาหารมัน ไม่ต้องให้
อาหารมัน มันจะมาร้องแงวๆ อยู่ เราไม่ให้อาหารมันสักวัน
หนึ่ง สองวัน เท่านั้นก็ไม่เห็นมันมาแล้ว เหมือนกันแหละ
กิเลสไม่มากวนเราเราก็จะได้สงบใจต่อไป
กระโถน
เรื่องที่เป็นอนัตตาอันนั้น อนัตตานี้พูดศัพท์ง่าย ๆ ก็
เรียกว่า ของไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน แต่ว่ามันอาศัยอาการตัวตนอยู่
อาศัยอาการของอัตตาอยู่ อนัตตานั้นจึงมี เป็นอนัตตาที่ถูก
ต้องด้วย ถ้าอัตตานี้ไม่มีแล้ว อนัตตาก็ไม่ปรากฏขึ้นมา เช่น
ว่าคุณหมอไม่มีกระโถนใบนี้อยู่ในบ้าน เรื่องของกระโถนใบนี้
ก็ไม่กวนกับคุณหมอเลย มันจะแตกมันจะร้าวหรือขโมยมัน
จะขโมยไปอย่างนี้ก็ไม่มีมากวนจิตใจของคุณหมอเลย เพราะ
มันไม่มีเหตุไม่มีปัจจัย คืออะไร? ก็คือว่ากระโถนไม่มีในบ้าน
เรา
ถ้าหากมีกระโถนขึ้นมาในบ้านเรา มันก็เป็นตัวอัตตา
ขึ้นมาแล้ว เมื่อกระโถนมันแตกมันก็กระทบ เมื่อกระโถนมัน
หาย มันก็กระทบ เพราะกระโถนนี้มีเจ้าของแล้ว อันนี้เรียกว่า
อัตตา มันมีสภาวะอยู่อย่างนี้ ส่วนสภาวะที่ว่า อนัตตา นั้น
คือสภาวะที่ว่ากระโถนในบ้านเราไม่มี จิตใจที่คอยพิทักษ์
รักษากระโถนนั้นไม่มี จะกลัวขโมยมันจะขโมยไปมันก็ไม่มี
อันนั้นมันหมดสภาวะแล้ว เรียกว่า สภาวะธรรม มันมีสภาวะ
มีเหตุ มีปัจจัย แต่เพียงมันยังเหลืออยู่เท่านั้น
คณิตศาสตร์
ดังนั้นก็สร้างบุญไปด้วย ก็พิจารณาไปด้วย คือกุศล
คือปัญญานะ เพื่อจะทำลาย คล้าย ๆ กับวิธีเลขนะ มันมีคุณ
มันมีบวก มันมีลบ มันมีหาร มันจึงจะได้จำนวนตามที่เรา
ชอบใจ อันนี้เราไม่เอายังงั้นซิ เอาแต่วิธีคูณอย่างเดียวไม่มีที่
ใส่วิธีคูณกับวิธีบวกกันเข้าไปเรื่อย ๆ วิธีลบไม่มี วิธีแบ่งก็ไม่
ค่อยจะมีซะด้วยนะ ถ้ามีวิธีแบ่ง มันก็เบา มีวิธีลบมันก็เบาซิ
มันมีวิธีบวกกับวิธีคูณมันก็ยิ่งไปกันใหญ่เท่านั้นแหละ
เกลือ
ถ้าทำบุญเพื่อบรรเทาทุกข์ มันต้องทำบุญด้วย
ทำกุศลธรรมด้วย ถ้าไม่เอากุศลธรรมก็ไม่มีปัญญา บุญ
อย่างเดียวเหมือนเนื้อกับปลาสด ๆ เอาทิ้งไว้เฉย ๆ มันก็
เท่านั้นแหละ อาศัยเกลือเป็นอยู่ เนื้อหรือปลาจึงมีอายุได้นาน
หรือเอาเข้าตู้เย็นเสียอย่างนี้
กะละมังคว่ำ
เมื่อเราละบาปแล้ว บำเพ็ญบุญเพิ่มเข้ามาทีละน้อย
ก็มีหวังที่บารมีจะเต็มได้ เหมือนกะละมังที่ตั้งหงายอยู่กลาง
แจ้ง แม้ฝนจะตกมาใส่ทีละหยด ๆ มันก็มีโอกาสที่จะเต็มได้
เมื่อเราทำบุญ แต่ยังไม่ละบาป ก็เหมือนกับเราเอา
กะละมังไปคว่ำไว้กลางแจ้ง ฝนตกลงมาถูกก้นกะละมังเหมือน
กัน แต่มันถูกข้างนอก ไม่ถูกข้างใน น้ำก็ไม่มีโอกาสที่จะเต็ม
กะละมังนั้นได้
กะละมังรัว
การทำบาป แล้วบำเพ็ญบุญปิดช่องมันเสีย ก็เหมือน
กับหม้อมันรั่ว ปิดช่องมันรั่ว แล้วเทน้ำใส่กะละมังรั่วก็อุดรูรั่ว
มัน แล้วเทน้ำใส่ เรียกว่าก้นกะทะไม่ดี ก้นหม้อไม่ดี การละ
บาปของเรายังไม่ดี ทำบุญลงไป มันก็ยังรั่ว เทน้ำใส่ลงไปมัน
ก็ยังรั่วออกไปหมด จะเทใส่ลงไปทั้งวัน มันก็ซึมรั่วออกไปที
ละน้อย น้ำก็เหือดแห้งไปหมด ไม่สำเร็จประโยชน์สมความ
ต้องการของเราได้
แม่พิมพ์
กับครูเป็นแบบพิมพ์ แม่พิมพ์ของคน ควรจะหันมาหา
ธรรมะ มาปฏิบัติธรรม ประพฤติปฏิบัติตัวให้เป็นแบบอย่าง
ของคนทั้งหลาย เปรียบเหมือนแม่พิมพ์สำหรับพิมพ์พระ
ใครเคยเห็นไหม พิมพ์เดียวเท่านั้นแหละ เขาทำอย่างดีเลย
เขาแกะหน้าตาคิ้วคางให้ดี ไม่ให้บิดเบี้ยว ไม่ให้เว้าแหว่ง เพื่อ
จะอัดพระพิมพ์ให้เป็นรูปงาม เมื่ออัดมาก็งามจริงๆ เพราะ
พิมพ์ที่เพียงพิมพ์เดียว นี้ฉันใด
ครูซึ่งเป็นแม่พิมพ์ของศิษย์และผู้คนทั้งหลายนั้นก็
เหมือนกันฉันนั้น จำเป็นจะต้องทำตนให้งามอยู่ด้วยคุณธรรม
ของความเป็นครูเป็นอาจารย์ ควรประพฤติตนให้อยู่ใน
ระเบียบวินัย และร่องรอยของผู้นำทางอยู่เสมอ สิ่งชั่วช้า
มัวเมาควรละออกไปให้หมดจรรโลงศีลธรรมให้สูงกลับคืนมา
ต้องเป็นตัวอย่างที่ดีแก่เด็กๆ
เถาวัลย์
เด็กนั้นก็เหมือนกับเถาวัลย์นั่นแหละเมื่อเถาวัลย์เกิด
ขึ้น ณ ที่ใด มันจะต้องหาต้นไม้ที่จะเลื้อยขึ้นเสมอ ในเมื่อ
ต้นไม้ต้นหนึ่งอยู่ใกล้ ๑๕ เซ็นติเมตร ถ้าอีกต้นหนึ่งอยู่ห่าง
๑๐ เมตร คุณว่ามันจะเลื้อยขึ้นต้นไหน มันก็จะเลื้อยขึ้นต้นที่
อยู่ใกล้ที่สุดนั่นแหละ ต้นที่อยู่ห่าง ๑๐ เมตรโน่น มันคงไม่
เลื้อยไปหรอก เพราะมันไกลเกินไป
ฉะนั้นครูเป็นผู้ที่ใกล้ชิดของเด็ก ๆ ทั้งหลายนั่นเอง
แหละ เป็นผู้ที่เด็ก ๆ ทั้งหลายจะถือเอาเป็นแบบอย่าง จึง
จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีการประพฤติจรรยามารยาท เครื่อง
ละเว้น เครื่องบำเพ็ญให้เด็กดู อย่าสอนเขาแต่ปาก การยืน
การเดินการนั่ง การเคลื่อนไหว การพูดจาอะไรทุกอย่าง เรา
ต้องทำ ให้เป็นการสอนเขาทั้งนั้น เด็ก ๆ เขาจะทำตาม
เพราะเด็กนั้นไว เขาไวกว่าผู้ใหญ่
พันธุ์ผลไม้
อาตมายินดีเมื่อเห็นชาวกรุงลอนดอนเหมือนเห็นพี่
น้อง จะเปรียบให้ฟังว่าดินก็ดี พันธุ์ผลไม้ก็ดี แต่ไม่มีใครมา
ปลูก มาทำสวน อย่างนั้นแหละ ปฏิรูปเทสพอสมควร จิตใจ
คนก็ดี สถานที่ก็ดี ดินฟ้าอากาศก็ดี สมบูรณ์บริบูรณ์ทั้งหมด
แต่ว่าไม่มีใครมาสั่งสอน ประกาศพระพุทธศาสนาให้เข้าใจ มี
ความสุขยิ่งไปกว่านี้ เหมือนพันธุ์ผลไม้ก็ดี ดินก็ดี แต่ไม่มี
ใครมาปลูก อาตมารู้สึกอย่างนั้น ดีไหม โยมจะเอาพระมา
ประกาศพระพุทธศาสนาที่นี่ ดีไหม?
แก้วแตก
โยมว่า “อย่ามาทำแก้วฉันแตกนะ” ของมันแตกได้
โยมจะห้ามมันไม่ได้ ไม่แตกเวลานี้ ต่อไปมันจะแตก เราไม่
ทำแตก คนอื่นจะทำแตก คนอื่นไม่ทำแตก ไก่มันจะทำแตก
พระพุทธเจ้าท่านให้ยอมรับ ท่านมองทะลุไปว่า แก้วใบนี้
แตกแล้ว แก้วที่ไม่แตกนี้ ท่านให้รู้ว่ามันแตกแล้ว จับทุกที่ใส่
น้ำดื่มเข้าไปแล้ววางไว้ ท่านก็ให้เห็นว่าแก้วมันแตกแล้ว
เข้าใจไหม นี่คือความเข้าใจของท่านเป็นอย่างนั้น เห็นแก้วที่
แตกอยู่ในแก้วใบที่ไม่แตก เพราะเมื่อมันหมดสภาพแล้ว
ไม่ดีเมื่อไรมันก็จะแตกเมื่อนั้น ทำความรู้สึกอย่างนี้แล้ว ก็ใช้
แก้วใบนี้ไปรักษาไป
อีกวันหนึ่ง พอมันหลุดมือแตก “ผัวะ” สบายไปเลย
ทำไมสบาย เพราะเห็นว่ามันแตกก่อนแตกแล้ว เห็นไหม
แต่ถ้าเป็นโยม “แหม ฉันถนอมมันเหลือเกิน อย่าทำให้มัน
อีกวันหนึ่งสุนัขทำแก้วแตก เกลียดสุนัข ถ้าลูกทำ
แตกก็เกลียดลูก เกลียดทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้แก้วแตก
เพราะเราไปกั้นฝายไว้ไม่ให้น้ำไหลออกไป กั้นไว้อย่างเดียว
ไม่มีทางระบายน้ำ ฝายมันก็แตกเท่านั้นแหละใช่ไหม ต้องทำ
ฝายแล้วทำทางระบายน้ำด้วย พอน้ำได้ระดับแค่นี้ ก็ระบาย
น้ำข้าง ๆ นี่ เมื่อมันเต็มที่ก็ให้มันออกข้างนี้ ท่านเห็นอนิจจัง
ความไม่เที่ยงอยู่อย่างนั้น นั่นแหละเป็นทางระบายของท่าน
อย่างนี้โยมจะสงบ นี่คือการปฏิบัติธรรมะ
อัดเทปภายใน
คำสอนที่ผมขอมอบให้ในวันนี้ ถ้าการฟังธรรมทำให้
ใจว่างสงบ ก็ดีแล้ว ไม่จำเป็นต้องจดจำอะไร บางท่านอาจ
จะไม่เชื่อ ถ้าเราทำใจให้สงบ ฟังแล้วก็ให้ผ่านไป แต่นำมา
พิจารณาอยู่เรื่อย ๆ อย่างนี้ เราก็เหมือนเครื่องบันทึกเสียง
เมื่อเราเปิดมัน มันก็อยู่ตรงนั้น อย่ากลัวว่าจะไม่มีอะไร
เมื่อใดที่ท่านเปิดเครื่องบันทึกเสียงของท่าน ทุกอย่างก็อยู่
ในนั้น
เทปภายนอกนี่มันเสื่อมได้ ซื้อมาแล้วมันก็เสื่อมได้
เทปภายในของเรานั่นน่ะ เมื่อมันถึงใจแล้ว มันดีเหลือเกินนะ
โยม มันมีอยู่ตลอดเวลา ไม่เปลืองถ่าน
ลูกโป่ง
ในครั้งพุทธกาล นั่งฟังธรรม บรรลุธรรมถึงขั้นที่สุด
ในขณะที่นั่งฟังอยู่ก็มี มันเร็ว คล้ายกับลูกโป่ง ลมที่อยู่ใน
ลูกโป่ง มันมีพลังที่จะดันออกมา พอเอาเข็มหมุดไปแทงนิด
เดียวเท่านั้น ลมก็ฟี้ออกไปเลย
อันนี้ก็ฉันนั้น พอได้ฟังธรรมถูกจริต มันพลิกความ
เห็นอย่างนั้นมาเป็นอย่างนี้ ก็บรรลุธรรมอย่างแท้จริงได้
อย่าให้อายวัว
วัวที่มันลากเกวียนบรรทุกของมาจากทางไกลน่ะ ยิ่ง
ตะวันบ่ายคล้อยต่ำค่ำลง วัวมันก็เร่งฝีเท้ากระชั้นเข้าทุกที
เพราะมันอยากจะให้ถึงที่เร็ว ๆ มันคิดถึงบ้าน
คนเรายิ่งแก่ ยิ่งเจ็บไข้ ใกล้ความตาย ก็เป็นตอนที่
จะต้องปฏิบัติภาวนาละ จะเอาความแก่ ความเจ็บ มาเป็น
ข้ออ้าง มันก็จะแย่กว่าวัวเท่านั้นแหละ
อาจารย์ใจ
เราทุก ๆ คนนี้ก็เหมือนกัน ไม่ได้เป็นอย่างอื่นหรอก
ทุกวันนี้ก็ไม่มีใครเป็นครูเป็นอาจารย์ เพราะจะตรัสรู้ธรรม
ใจน่ะ มันต้องสอนตัวเอง ถ้าไม่สอนตัวเองให้ผู้อื่นไปสอน
ปานใด มันก็ไม่ฟัง มันไม่รู้จัก ถ้าใจไม่สอน ใจนั่นแหละเป็นครู
ใจนั่นแหละเป็นอาจารย์
คนเราไม่เห็นตัวเองง่าย ๆ ไม่เห็น มันยาก เห็นตัว
เองเห็นยาก ให้พากันคิดสักหน่อย ทำมาแล้ว ทุก ๆ คนเคย
ทำบาปมา เมื่อแก่เฒ่ามาแล้วก็ควรพากันหยุด ให้มันเบาบาง
ลงไป ให้มันน้อยลงไป ถอยลงไป มันไม่มีอะไรหรอก มีเท่านี้
แหละ ให้เข้าหาศีลธรรม
น้ำมันกับน้ำ
น้ำมันกับน้ำท่ามันต่างกัน เหมือนกับคนฉลาดก็ต่าง
กับคนโง่ พระพุทธเจ้าก็ทรงอยู่กับรูป เสียง กลิ่น รส
โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ แต่พระองค์ทรงเป็นพระอรหันต์
พระองค์จึงทรงเห็นสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงสิ่ง สักว่า เท่านั้น
พระองค์ทรงปล่อยวางมันไปเรื่อย ตั้งแต่ทรงเข้า
พระทัย แล้วว่า ใจก็สักว่าใจ ความคิดก็สักว่าความคิด
พระองค์ไม่ทรง เอามันมาปนกัน
ถ้าคิดได้ รู้สึกได้อย่างนี้ เราก็จะแยกมันได้ ความคิด
ความรู้สึก อยู่ทางหนึ่ง ใจก็อยู่อีกทางหนึ่ง เหมือนกับน้ำมัน
กับน้ำถ้าอยู่ในขวดเดียวกัน แต่มันแยกกันอยู่
พระสมมติ - พระแท้
เมื่อบวชเข้ามาในพระพุทธศาสนาแล้ว สมมติว่าเป็น
พระ ยังไม่ได้เป็นพระแท้นะ คือเป็นพระเฉพาะกาย โกนผม
ห่มเหลือง เท่านี้แหละ จึงเป็นพระโดยสมมติ
เหมือนกันกับการที่เขาเอาไม้มาแกะสลัก หรือเอาปูน
มาปั้น หรือเอาทองมาหล่อมาหลอมขึ้น เป็นพระพุทธเจ้าโดย
สมมติ ไม่ใช่พระพุทธเจ้าแท้
ผู้ที่ยังเป็นพระสมมติ คือยังอาศัยความโลภความโกรธ
ความหลงนั่นแหละเป็นอยู่ในใจ มันกั้นกลางเราไว้ในภพชาติ
ทั้งหลาย ให้ถึงความสงบไม่ได้ ก็เพราะความโลภ ความโกรธ
ความหลง ถ้าเอาโลภ โกรธ หลง ออกจากใจแล้ว มันจะถึง
ปลูกต้นไม้
พระศาสดาทรงตรัสว่า เรื่องของมันเอง ถ้าเราไม่
หยุด ความเพียร จะช้าหรือเร็วเราบังคับไม่ได้ เหมือนปลูก
ต้นไม้ มันรู้จักของมัน มันอยากเร็วก็รู้ว่ามันหลง มันอยากช้า
ก็รู้ว่ามันหลง เมื่อทำแล้วจึงเกิดผลขึ้นมา
เหมือนเราปลูกต้นไม้ เช่น ปลูกพริกต้นนี้ หน้าที่ของ
เราคือขุดหลุมปลูก ให้น้ำ ให้ปุ๋ย รักษาแมลงให้มันเท่านั้น
นี่คือเรื่องของเรา เรื่องศรัทธาของเรา ส่วนตัวพริกจะเกิดหรือ
ไม่เกิดก็เป็นเรื่องของมัน ไม่ใช่เรื่องของเรา จะไปดึงให้มัน
ขึ้นมาก็ไม่ได้
วัดกับทางมาวัด
ศีลก็ดี สมาธิก็ดี ปัญญาก็ดี ทั้งสามประการนี้ท่าน
เรียกว่า มรรค มรรคนี้ยังมิใช่ศาสนา อีกทั้งยังไม่ใช่สิ่งที่
พระศาสดาทรงต้องการอย่างแท้จริงเลย แต่ก็เป็นหนทางที่
จะดำเนินเข้าไป
เหมือนกับท่านมหามาจากกรุงเทพฯ
จะมาวัดหนองป่าพง
ท่านมหาคงไม่ต้องการหนทาง ต้องการจะถึง
วัดต่างหาก แต่หนทางก็จำเป็นสำหรับท่านมหาที่จะต้องมา
ฉะนั้น ถนนที่ท่านมหามาก็ไม่ใช่วัด มันเป็นเพียงถนนมาวัด
เท่านั้น แต่จำเป็นต้องมาตามถนนจึงจะถึงวัดได้
กุญแจภาวนา
การปฏิบัติเปรียบเหมือนกุญแจ กุญแจภาวนา
แม่กุญแจจะเป็นอะไรก็ช่าง เราถือลูกกุญแจไว้ในมือ
มันจะปิด แน่นเท่าไรก็ช่าง ถ้าเราเอาลูกกุญแจไปไขเปิดเมื่อไร
ก็สำเร็จ ประโยชน์เมื่อนั้น ถ้ากุญแจไม่มีลูกกุญแจ ก็ไม่มี
ประโยชน์ ของอยู่ในลัง เราก็เอาออกมาไม่ได้
ร้อนกับเย็น
เหมือนไฟมันลุกตรงไหนมันร้อนตรงไหนมันก็ดับที่
ตรงนั้น มันร้อนที่ไหนก็ให้มันเย็นตรงนั้น ก็เหมือนกับนิพพาน
ก็อยู่กับวัฏฏสงสาร วัฏฏสงสารก็อยู่กับนิพพาน
เหมือนกับความร้อนและความเย็น มันก็อยู่ที่เดียวกัน
นั่นเอง ความเย็นก็อยู่ที่มันร้อน เมื่อมันร้อนขึ้น มันก็หมดเย็น
เมื่อมันหมดเย็น มันก็ร้อน
ทําโต๊ะทําเตียง
การทำใจให้บริสุทธิ์ สงบระงับนั้นก็ดี แต่มันเป็นของ
ยาก มันจะต้องผ่านจากข้างนอก คือ กาย วาจาให้เข้ามาได้
ก่อน หนทางที่นำไปสู่ความบริสุทธิ์ นำไปสู่ความเป็นสมณะ
เป็นหนทางที่ชำระโลภ โกรธ หลง ออกได้ ต้องสังวรสำรวม
จึงเป็นของยาก แต่ถึงจะยากลำบากก็ช่างมัน
เหมือนกับไม้ กว่าจะเอามาทำโต๊ะทำเตียงได้มันยาก
ลำบากก็ช่างมัน มันต้องผ่านตรงนั้น จะเป็นโต๊ะเป็นเตียงได้ก็
ต้องผ่านของหยาบ ๆ มาก่อน
เราทั้งหลายก็เช่นกัน
เอาแต่ของที่ยังไม่เป็นมา
คอยเฝ้ามะม่วงตก
เอาความสงบมาพิจารณารูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ
ธรรมารมณ์ที่มากระทบอารมณ์ แม้จะดี จะชั่ว สุข ทุกข์
ทั้งหลายทั้งปวง เหมือนกับคนขึ้นต้นมะม่วงแล้วเขย่าให้ลูก
หล่นลงมา เราอยู่ใต้ต้นมะม่วงก็คอยเก็บเอา ลูกไหนเน่าเรา
ไม่เอา เอาแต่ลูกที่ดี ๆ ไม่เปลืองแรงเพราะไม่ได้ขึ้นต้นมะม่วง
คอยเก็บอยู่ข้างล่างเท่านั้น
น้ำในตุ่ม
เมื่อความชั่วทั้งหลายไม่มีในใจเรา โทษทั้งหลายจึง
หมดไป ความเย็นมันก็เกิดขึ้นมา เพราะเรารักษาตัวเอง
มันก็เป็นศีลขึ้นมา มันสงบก็เป็นสมาธิ จิตสงบระงับแล้ว ก็
เบิกบานเกิดปัญญา รู้จักทำจิตของตนให้ผ่องใส อะไรชั่วเรา
ก็ปล่อยไป อะไรผิด เราก็วางไป พิจารณาวางไป ปล่อยไป
คล้าย ๆ กับน้ำในตุ่มนั่นแหละ เราเอาขันไปตักออกขันหนึ่ง
แล้วเททิ้ง ตักมาขันที่สองแล้วก็เททิ้ง ตักแล้วก็เททิ้งอยู่อย่าง
นั้น น้ำที่อยู่ในตุ่มมันก็ต้องมีเวลามีโอกาสที่จะแห้งหมดไปได้
จิตที่เข้าไปปฏิบัติ ก็อย่างนั้นเหมือนกัน
ถ้าเราไม่เห็นอย่างนั้น ก็เหมือนตักน้ำใส่แล้วตักออก
ตักใส่แล้วตักออกกัน ก็บุญ ๆ บาป ๆ ผิด ๆ ถูก ๆ ดี ๆ
ทวนกระแสนํ้า
การปฏิบัตินั้นคือทวนกระแส ทวนกระแสน้ำใจของ
เราเอง ทวนกระแสของกิเลส อะไรที่เป็นของทวนกระแสแล้ว
มันลำบาก พายเรือทวนกระแสก็ลำบาก สร้างคุณงามความดี
นั้นก็ลำบากเสียหน่อยหนึ่งเพราะว่าคนเรามีกิเลส ไม่อยากจะ
ทำ ไม่อยากจะยุ่งยาก ไม่อยากจะอดทน อยากจะปล่อยไป
ตามอารมณ์เสียเป็นส่วนใหญ่ เหมือนน้ำน่ะแหละ มันก็ไหล
ไปตามเรื่องของมัน ถ้าปล่อยให้ไหลไปตามน้ำก็สบาย แต่ว่า
นั่นไม่ใช่ลักษณะการปฏิบัติ ลักษณะการปฏิบัติต้องฝืน ต้อง
ฝืนกิเลส ฝืนใจของตัวเอง ข่มจิตเจ้าของ ทําความอดทนให้
มากขึ้น มันจึงเป็นการปฏิบัติทวนกระแสน้ำ
อยู่กับงูเห่า
ขอให้โยมจำไว้ในใจ อารมณ์ทั้งหลายนั้น ไม่ว่าจะ
เป็นอารมณ์ที่พอใจก็ตาม หรืออารมณ์ที่ไม่พอใจก็ตาม
อารมณ์ทั้งสองอย่างนี้มันเหมือนงูเห่าซึ่งมีพิษมาก ถ้ามันฉก
คนแล้ว ก็ทำให้ถึงแก่ความตายได้ อารมณ์นี้ก็เหมือนงูเห่า
ที่มีพิษร้ายนั้น อารมณ์ที่พอใจก็มีพิษมาก อารมณ์ที่ไม่พอใจ
ก็มีพิษมาก มันทำให้จิตใจของเราไม่เสรี ทำให้จิตใจไขว้เขว
จากหลักธรรมของพระพุทธเจ้า
ปล่อยพิษงูไป
อารมณ์ทั้งหลายเหมือนกันกับงูเห่าที่มีพิษร้าย ถ้า
ไม่มีอะไรขวาง มันก็เลื้อยไปตามธรรมชาติของมัน แม้พิษ
มันจะมีอยู่ มันก็ไม่แสดงออกมา ไม่ได้ทำอันตรายเรา เพราะ
เราไม่ได้เข้าไปใกล้มัน งูเห่าก็เป็นไปตามเรื่องของงูเห่า มันก็
อยู่อย่างนั้น
ถ้าหากเป็นคนที่ฉลาดแล้วก็จะปล่อยหมด สิ่งที่ดีก็
ปล่อยมันไป สิ่งที่ชั่วก็ปล่อยมันไป สิ่งที่ชอบใจก็ปล่อยมันไป
เหมือนอย่างเราปล่อยงูเห่าตัวที่มีพิษร้ายนั้น ปล่อยให้มัน
เลื้อยของมันไป มันก็เลื้อยไปทั้งที่มีพิษอยู่ในตัวมันนั่นเอง
สอนเด็ก
ฉะนั้นการปฏิบัตินี้จึงว่านั่ง นั่นแหละปฏิบัตินั่ง ดูไป
มันมีอารมณ์ดี อารมณ์ชั่ว สลับซับซ้อนกันไปเป็นธรรมดา
ของมัน อย่าไปสรรเสริญจิตของเราอย่างเดียว อย่าไปให้โทษ
มันอย่างเดียว ให้รู้จักกาล รู้จักเวลามัน เมื่อถึงคราวสรรเสริญ
ก็สรรเสริญมันหน่อย สรรเสริญให้พอดีอย่าให้หลง เหมือน
กับสอนเด็กนั่นแหละ บางทีก็เงี่ยนมันบ้าง เอาไม้เรียวเล็ก ๆ
เงี่ยนมัน ไม่เงี่ยนไม่ได้ อันนี้บางทีก็ให้โทษมันบ้าง อย่าให้
โทษมันเรื่อยไป ให้โทษมันเรื่อยไปมันก็ออกจากทางเท่านั้น
แหละ ถ้าให้สุขมัน ให้คุณมันเรื่อย ๆ มันไปไม่ได้
เด็กซุกซน
เปรียบกับเด็กที่ซุกซน เล่นสนุก ทำให้รำคาญจนเรา
ต้องดุเอา ตีเอา แต่เราก็ต้องเข้าใจว่าธรรมชาติของเด็กก็
เป็นอย่างนี้เอง พอรู้อย่างนี้ เราก็ปล่อยให้เด็กเล่นไปตาม
เรื่องของเขา ความเดือดร้อน รำคาญของเราก็หมดไป
เพราะเรายอมรับธรรมชาติของเด็ก ความรู้สึกของเราจึง
เปลี่ยนไป
เรายอมรับธรรมชาติของสิ่งทั้งหลาย เราปล่อยวางได้
จิตของเราก็มีความสงบเยือกเย็น นี่เรามีความเข้าใจที่ถูกต้อง
แล้ว เป็นสัมมาทิฏฐิ ทีนี้ก็หมดปัญหาที่จะต้องแก้
ต้นไม้โอนเอง
ตัณหา คือ ความอยากนำเราไปสู่ทุกข์ อย่างนี้ ถ้าเราพิจารณาแล้วนะ
มันจะโอนออกไปจากตัณหา มันพิจารณาตัณหา มันจะเขย่าตัณหานั้นให้หมด ให้เบาบางไปเอง
เหมือนกับธรรมชาติต้นไม้นั่นแหละ มีใครไปบอก ไป
สะกิดมันไหม มันก็พูดไม่ได้ ทำไม่ได้ แต่ว่ามันโอนออกไป
ข้างนอก ดูอย่างนี้ก็เป็นธรรมะแล้ว
งานก่อนเงิน
บางคนต้องการจะมาปฏิบัติเพื่อเอาความสุขเฉยๆสุข
มันจะเกิดมาจากไหนก่อน? อะไรเป็นเหตุมัน? ความสุขทั้ง
หลายนะมันต้องมีทุกข์ก่อน มันจึงจะมีสุข เราทำทุกสิ่ง
ทำงานก่อนจึงได้เงินมาซื้อกินไม่ใช่หรือ ทำนาก่อนจึงจะได้
กินข้าว มันต้องผ่านความทุกข์มาก่อนทุกอย่างนั่นแหละ
กิ้งกือ
คนมาอยู่กันมาก ๆ มันก็ปฏิบัติกันได้ง่าย ถ้ามีความ
เห็นถูกต้องตรงกัน เมื่อมาน้อมลงเพื่อละทิฏฐิอันเดียวกัน
มันก็ลงสู่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เหมือนกัน จะว่ามี
หลายองค์ มันจะเกะกะก็ไม่ได้ คล้ายๆ ตัวกิ้งกือ ตัวกิ้งกือมี
หลายขา มองดูน่ารำคาญเหมือนกับว่ามันจะยุ่งกับขาของมัน
แต่มันเดิน เดินไปเดินมา ความจริงมันไม่ยุ่ง มันมีจังหวะ
มีระเบียบ ในทางพุทธศาสนาก็เหมือนกัน ถ้าปฏิบัติแบบ
สาวกของพระพุทธเจ้ามันก็ง่าย คือการเป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติ
ตรง ปฏิบัติเพื่อพ้นทุกข์และเป็นผู้ปฏิบัติชอบ ถึงเราจะมีเป็น
ร้อยเป็นพัน
เราจะมีมากแค่ไหนก็ช่างเถอะ มันก็ลงสายเดียวกันหมด
กวาด
ข้อวัตรทั้งหลายมีกำลังมาก ที่ไหนในวัดที่จะทำได้ไม่
ว่าจะเป็นในกุฏิของเรา ในกุฏิคนอื่นก็ดี ที่มันสกปรกรกรุงรัง
ทำเลย ไม่ต้องทำให้ใคร ไม่ต้องทำเอาหน้าเอาตาจากใคร ทำ
เพื่อข้อปฏิบัติของเรา กวาดกุฏิ กวาดเสนาสนะให้มันสะอาด
ถ้าเราทำเช่นนี้ก็เหมือนเรากวาดของสกปรกออกจากใจของเรา
เพราะเราเป็นผู้ปฏิบัติ อันนี้ให้มันมีอยู่ในใจของพวกเราทุก
คน ความสามัคคีนั้นไม่ต้องเรียกร้องหรอก เป็นเลย
สามในหนึ่ง
ปัญญา กับสมาธิ เมื่อเราพูดแยกกันออก ก็คล้าย ๆ
คนละตัว แต่ความเป็นจริงเป็นตัวเดียวกันนั่นเองแหละ
ปัญญาเป็นเครื่องเคลื่อนไหวของสมาธิเท่านั้น มันออกจาก
จิตอันนี้เอง แต่แยกกันออกไปเป็นคนละลักษณะ
เหมือนมะม่วงใบหนึ่ง เมื่อมันเล็กก็ใบนี้ เดี๋ยวมัน
ก็โตขึ้น เดี๋ยวมันก็สุก คือมะม่วงใบเดียวกัน ไม่ใช่คนละใบ
ศีล สมาธิ ปัญญา ก็คือของอันเดียวกัน เหมือน
มะม่วงนั่นแหละ เพียงแต่มันเป็นคนละอาการ
เตา
ให้เห็นชัดในตัวของเราเป็น ปัจจัตตัง จะมีอารมณ์
ภายนอกกระทบกระทั่งเข้ามา มันก็เป็นปัจจัตตังสม่ำเสมอ
มันไม่ทิ้ง พูดง่าย ๆ เหมือนเขาเผาถ่านเผาอิฐ เตาถ่านเตาอิฐ
เคยเห็นไหม ก่อไฟขึ้นหน้าเตาสักสองศอก หรือเมตรหนึ่ง
มันจะดูดควันไฟเข้าไปในเตาหมดเลย ดูอันนั้นก็ได้ มันเห็น
ชัดอย่างนั้น อันนี้มันเป็นรูปเปรียบเทียบ ถ้าทำเตาเผาถ่าน
เผาอิฐให้ถูกเรื่อง ถูกลักษณะของมัน ก่อไฟอยู่หน้าเตาสัก
สองสามศอก เมื่อมีควันขึ้นมา มันจะดูดเข้าไปในเตาหมด
ไม่มีเหลือเลย ความร้อนก็จะเข้าไปบรรจุในเตาหมดไม่หนีไป
ไหน ความร้อนจะเข้าไป ทำลายเร็วที่สุด นี่มันเป็นอย่างนั้น
ความรู้สึกของผู้ประพฤติปฏิบัติก็เหมือนกัน จะมีความรู้สึก
ดูดเข้าไปให้เป็นสัมมาทิฏฐิทั้งนั้น ตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูก
ดมกลิ่น ลิ้นลิ้มรสทั้งหลาย มันจะดูดเข้าไปให้เป็นสัมมาทิฏฐิ
ทั้งนั้นจะเป็นสัมผัสที่เกิดปัญญาอย่างนั้นสม่ำเสมอตลอดเวลา
กล้วย มะพร้าว
เปรียบง่าย ๆ ให้ฟัง เราไปซื้อกล้วยหรือซื้อมะพร้าว
ใบหนึ่งจากตลาดแล้วก็เดินหิ้วมา อีกคนหนึ่งก็ถาม “ท่านซื้อ
กล้วยมาทำไม”
“ซื้อไปรับประทาน” “เปลือกมันต้องรับประทาน
ด้วยหรือ” “เปล่า”
“ไม่เชื่อหรอก ไม่รับประทานแล้วเอาไปทำไมเปลือก
มัน” หรือเอามะพร้าวใบหนึ่งมาก็เหมือนกัน
“เอามะพร้าวไปทำไม” “จะเอาไปแกง”
“เปลือกมันแกงด้วยหรือ”
“เปล่า” “จะเอาไปทำไมล่ะ”
เอ้า จะว่าอย่างไรล่ะ จะตอบปัญหาเขาอย่างไร
ด้วยความอยาก ถ้าไม่อยากเราก็ไม่ได้ทำให้มันมี
ปัญญานะ การทำความเพียรก็เป็นเช่นนั้น คือทำด้วยการ
ปล่อยวาง อย่างกล้วยอย่างมะพร้าว เอาไปทำไมเปลือกมัน ก็
เพราะว่ายังไม่ถึงเวลาเอามันทิ้ง มันก็ห่อเนื้อในมันไปอยู่นั้น
ยังไม่ถึงเวลาจะทิ้งก็ถือมันไว้ก่อน การประพฤติปฏิบัติก็
เหมือนกัน สมมติ วิมุตติ ก็ต้องปนกันอยู่อย่างนั้น เหมือน
มะพร้าวมันจะปนอยู่ทั้งเปลือกทั้งกะลาทั้งเนื้อ เราก็เอามาทั้งหมดแหละ
เขาจะหาว่าเรากินเปลือกมะพร้าวอย่างไรก็ช่าง
เขา เรารู้จักของเราอยู่
อ้อยตาลหวานลิ้น
เคยกินอ้อยไหมล่ะ กินจากปลายไปโคนมันเป็นยังไง
นั่นแหละยิ่งใกล้โคนเข้าไป ความหวานมันก็ยิ่งเพิ่มขึ้น ๆ
ขนาดว่าเหลือแค่นิ้วมือเท่านั้นยังไม่อยากทิ้งเลย มันเสียดาย
มดง่ามอยากจะกินด้วยยังไม่ได้กิน ให้มันเป็นอย่างนั้น
ปฏิบัติธรรมให้เหมือนคนกินอ้อย
สีไฟ
การประพฤติปฏิบัติเหมือนกันกับบุรุษที่ไปสีไฟ ได้
ฟังท่านบอกว่า เอาไม้ไผ่สองอันมาสีกันเข้าไปเถอะ แล้วจะมี
ไฟเกิดขึ้น บุรุษนั้นก็จับไม้ไผ่เข้าสองอัน สีกันเข้า แต่ใจร้อน
สีไปได้หน่อย ก็อยากให้มันเป็นไฟ ใจก็เร่งอยู่เรื่อย ให้เป็น
ไฟเร็วๆ แต่ไฟก็ไม่เกิดสักที บุรุษนั้นก็เกิดความขี้เกียจแล้วก็
หยุดพัก แล้วจึงลองสีอีกนิด แล้วก็หยุดพัก ความร้อนที่พอมี
อยู่บ้าง ก็หายไปล่ะซิ เพราะความร้อนมันไม่ติดต่อกัน
ถ้าทำไปเรื่อย ๆ อย่างนี้ เหนื่อยก็หยุด มีแต่เหนื่อย
อย่างเดียวก็พอได้ แต่มีขี้เกียจปนเข้าด้วย เลยไปกันใหญ่
แล้วบุรุษนั้นก็หาว่าไฟไม่มี ไม่เอาไฟ ก็ทิ้ง เลิก ไม่สีอีก แล้ว
ก็ไปเที่ยวประกาศว่า ไฟไม่มี ทำอย่างนี้ไม่ได้ ไม่มีไฟหรอก
เขาได้ลองทำแล้ว
ไฟไหม้ น้ำท่วม
พระพุทธองค์ท่านก็ทรงสอนว่า ร่างกายจิตใจนี้มันก็
เป็นอยู่อย่างนั้น มันจะเป็นของมันอยู่อย่างนั้น มันจะไม่เป็น
ไปอย่างอื่น คือ เริ่มเกิดขึ้นมาแล้วก็แก่ แก่มาแล้วก็เจ็บ เจ็บ
มาแล้วก็ตาย อันนี้เป็นความจริงเหลือเกิน ซึ่งคุณยายก็พบ
อยู่ในปัจจุบันนี้ มันก็เป็นสัจธรรมอยู่แล้ว ก็มองดูมันด้วย
ปัญญาให้เห็นมันเสียเท่านั้น
ถึงแม้ว่าไฟมันจะมาไหม้บ้านของเราก็ตาม ถึงแม้ว่า
น้ำมันจะท่วมบ้านของเราก็ตาม ก็ให้มันเป็นเฉพาะบ้าน
เฉพาะเรือน ถ้าไฟมันไหม้ ก็อย่าให้มันไหม้หัวใจเรา ถ้า
น้ำมันท่วมก็อย่าให้มันท่วมหัวใจเรา ให้มันท่วมแต่บ้าน ให้
มันไหม้แต่บ้าน ซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่นอกกายของเรา ส่วนจิตใจ
ของเรานั้น ให้มันมีการปล่อยวาง เพราะในเวลานี้มันสมควร
แล้ว มันสมควร ที่จะปล่อยแล้ว
วางแก้ว
ให้ทำด้วยการปล่อยวาง อย่าไปยึด ยึดอย่าให้มันมั่น
เข้าใจไหมอย่าไปยึด แก้วใบนี้น่ะเรายึดมาดูเสียก่อน รู้แล้วก็
วางมัน นี่เรียกว่าอย่าไปยึดมั่น คือยึดอย่าให้มันมั่น ยึดมาดู
รู้เรื่องมันแล้วก็วางมัน สบาย อันนี้ก็เหมือนกันฉันนั้น
กล้วย
ผมก็บวชมา เข้าวัดตั้งแต่อายุ ๙ ขวบเลยพยายาม
มันอยู่อย่างนี้ แต่ไม่ค่อยจะรู้เรื่องหรอกสมัยก่อน มารู้เมื่อ
เป็นพระนั่นแหละ พอบวชมาแล้ว โอ้โฮ! มันกลัวทั้งนั้นแหละ
มันคล้าย ๆ ว่าเห็นกามที่เขาอยู่นะ ไม่เห็นความสนุกกับเขา
แต่เห็นความทุกข์มากกว่า มันคล้าย ๆ กับกล้วยน้ำว้าใบหนึ่ง
เราไปทานมัน มันก็หวานดีอยู่ มันมีรสหวานก็รู้อยู่ แต่เวลานี้
รู้อยู่ว่าเขาเอายาพิษไปฝังไว้ในกล้วยใบนั้น แม้จะรู้อยู่ว่ามัน
หวานเท่าไรก็ช่าง ถ้ากินไปแล้วมันจะตายใช่ไหม? ความเห็น
มันเป็นเช่นนั้นทุกที ว่าจะกินก็เห็นยาพิษฝังอยู่ในนั้นทุกที
นั่นแหละ มันก็เลยถอยออกมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งมีอายุพรรษา
มากขนาดนี้แล้ว ถ้าเรามองเห็นแล้ว มันไม่น่ากินเลยนะ
เรียนตามแบบ รบนอกแบบ
มีพระนักปริยัติบางรูป ท่านค้นคว้าตามตำรา
เพราะได้เรียนมามาก อาตมาว่าทดลองดูเถอะ การกางแบบกาง
ตำราทำนี่ ถึงเวลาเรียน ๆ ตามแบบ แต่เวลารบ ๆ นอกแบบ
ไปรบตามแบบมันสู้ข้าศึกไม่ไหว ถ้าเอากันจริงจังแล้วต้องรบ
นอกแบบ
มือ
ผู้ที่เรียนปริยัติและผู้ปฏิบัติธรรมมักจะเข้าใจกันผิดผู้
เรียนปริยัติมักจะพูดว่า “พระที่เอาแต่ปฏิบัตินั้นท่านว่าตาม
ความเห็นของท่าน” เขาพูดเช่นนั้น โดยไม่มีหลักฐานอะไร
ที่จริงแล้วในความหมายหนึ่ง ทั้งสองอย่างก็เป็นอัน
เดียวกันเราจะเข้าใจดีขึ้น ถ้าเปรียบเทียบกับฝ่ามือและหลังมือ
เมื่อเรายื่นมือออกมารู้สึกคล้ายกับว่าฝ่ามือหายไป ที่จริงมันก็
ไม่ได้หายไปไหน มันแค่ซ่อนอยู่ข้างใต้เท่านั้น ทำนอง
เดียวกันเมื่อหงายมือขึ้น หลังมือก็หายไป ความจริงมันไม่ได้
หายไปไหน แต่อยู่ข้างใต้นั้นเอง
ควรจำเรื่องนี้ไว้ใช้ในการพิจารณาการปฏิบัติ ถ้าคิด
ว่ามันหายไปแล้ว เราก็หยุดการศึกษาแล้วหวังให้ได้ผล แต่
ไม่ว่าเราจะศึกษาธรรมะมากเพียงไรก็ตาม เราจะไม่เข้าใจ
เพราะเรายังไม่รู้ตามความเป็นจริง ถ้าเราเข้าใจธรรมชาติ
ที่แท้ของธรรมะแล้ว เราก็จะเริ่มปล่อยวาง อันนี้เป็นการ
ยอมรื้อถอนความยึดมั่นออก ไม่ยึดติดอะไรอีกแล้ว หรือหาก
จะยึด มันก็จะน้อยลง ๆ
นี่คือ ความแตกต่างของปริยัติและปฏิบัติ
ตัวหนังสือ
หยุด เอาความรู้ปริยัติใส่หีบใส่ห่อไว้เสีย อย่าเอามา
พูด ไม่ใช่ความรู้พวกนั้นจะเข้ามาอยู่นี่หรอก มันพวกใหม่
เวลาเป็นขึ้นมา มันไม่เป็นอย่างนั้น
เหมือนกับเราเขียนตัวหนังสือว่า ความโลภ เวลา
มันเกิดขึ้นในใจไม่เหมือนตัวหนังสือ เวลาโกรธก็เหมือนกัน
เขียนใส่กระดานดำก็เป็นอย่างหนึ่ง มันเป็นตัวอักษร เวลา
มันเกิดในใจ อ่านอะไรไม่ทันหรอก มันเป็นขึ้นมาที่ใจเลย
สำคัญนัก สำคัญมาก
ตกต้นไม้
ปฏิจจสมุปบาทธรรมก็เหมือนกัน อวิชชาเป็นปัจจัย
ให้เกิดสังขาร สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ วิญญาณเป็น
ปัจจัยให้เกิดนามรูป ฯลฯ เราเคยเล่าเรียนมาศึกษามา ก็เป็น
จริงคือท่านแยกเป็นส่วน ๆ ไป เพื่อให้นักศึกษารู้ แต่เมื่อมัน
เกิดมาจริงๆ แล้วนับไม่ทันหรอก
อุปมาเหมือนเราตกจากยอดไม้ก็ตับถึงดินโน่น ไม่รู้
ว่ามันผ่านกิ่งไหนบ้าง จิตเมื่อถูกอารมณ์ปุ๊บขึ้นมา ถ้าชอบใจ
ก็ถึงดีโน่น อันที่ติดต่อกันเราไม่รู้ มันไปตามที่ปริยัติรู้นั่นเอง
แต่มันก็ไปนอกปริยัติด้วย มันไม่บอกว่าตรงนี้เป็นอวิชชา
ตรงนี้เป็นสังขาร ตรงนี้เป็นวิญญาณ ตรงนี้เป็นนามรูป มันไม่
ได้ให้ท่านมหาอ่านอย่างนั้นหรอกเหมือนกับการตกจากต้นไม้
ท่านพูดถึงขณะจิตอย่างเต็มที่ของมันจริงๆ อาตมาจึงมีหลัก
เทียบว่า เหมือนกับการตกจากต้นไม้ เมื่อมันพลาดจาก
ต้นไม้ไปปุ๊บ มิได้คณนาว่ามันกี่นิ้วฟุต เห็นแต่มันตูมถึงดิน
เจ็บแล้ว
มีด
การฝึกจิตให้มีกำลังกับการฝึกกายให้มีกำลังมีลักษณะ
อันเดียวกันแต่มีวิธีต่างกัน
การฝึกกายให้มีกำลังเราต้อง
เคลื่อนไหวอวัยวะ แต่การฝึกจิตให้มีกำลัง คือทำจิตให้หยุด
ให้พักผ่อน เช่นทำสมาธิ พยายามปล่อยวางสิ่งทั้งหลาย ไม่
ปล่อยจิตให้คิดอย่างนั้นอย่างนี้สารพัด ให้มีอยู่อารมณ์เดียว
จิตก็จะมีกำลัง ปัญญาก็จะเกิด เช่นเดียวกับมีมีดเล่มหนึ่ง
เราลับไว้ดีแล้ว มัวแต่ฟันหิน ฟันอิฐ ฟันหญ้าทั่วไป ฟันไม่
เลือก มีดก็จะหมดความคม
หัดเขียน
ในวันหนึ่งๆ
ให้ได้ปฏิบัติเถอะ ขี้เกียจก็ทำ ขยันก็ทำ
เราปฏิบัติธรรมะไม่ว่ากลางวันกลางคืน สงบก็ทำ ไม่สงบก็ทำ
เหมือนกับเราเป็นเด็กไปเรียนหนังสือ
จะเขียนไม่สวยใน
ครั้งแรก มันตัวยาวๆ ขายาว ๆ เขียนไปตามเรื่องของเด็ก
นานไปก็สวยขึ้นงามขึ้นเพราะฝึกมัน
เด็กกับผู้ใหญ่
สมาธิ และปัญญา นี้ต้องควบคู่กันไป เบื้องแรกจิตจะ
เข้าถึงความสงบระงับ โดยอาศัยวิธีทำสมาธิภาวนา จิตจะ
สงบอยู่ได้เฉพาะขณะที่ท่านนั่งหลับตาเท่านั้น นี่คือสมถะ
และอาศัยสมาธิเป็นพื้นฐานช่วยให้เกิดปัญญาหรือวิปัสสนา
ได้ในที่สุด แล้วจิตก็จะสงบไม่ว่าท่านจะนั่งหลับตาอยู่หรือ
เดินอยู่ในเมืองที่วุ่นวาย เปรียบเหมือนกับว่า ครั้งหนึ่งท่าน
เคยเป็นเด็ก บัดนี้ท่านเป็นผู้ใหญ่แล้ว เด็กกับผู้ใหญ่นี้เป็น
บุคคลคนเดียวกัน ในทำนองเดียวกัน สมถะกับวิปัสสนาก็
อาจจะพูดได้ว่าแยกออกจากกัน หรือเปรียบเหมือนอาหาร
กับอุจจาระ อาจจะเรียกได้ว่าเป็นสิ่งเดียวกัน และถ้ามองอีก
แง่หนึ่งอาจจะเรียกได้ว่าเป็นคนละสิ่งกัน
ไม้ท่อนเดียว
ภาวนาก็เหมือนกับไม้ท่อนเดียว วิปัสสนาอยู่ปลาย
ท่อนทางนี้ สมถะอยู่ปลายท่อนทางนั้น ถ้าเรายกไม้ท่อนนี้ขึ้น
ปลายท่อนไม้จะขึ้นข้างเดียวหรือทั้งสองข้าง ถ้ายกไม้ท่อนนี้
ขึ้น ปลายทั้งสองก็จะขึ้นด้วย อะไรจะเป็นตัววิปัสสนา อะไร
จะเป็นตัวสมถะ ก็ตัวจิตนี่เอง
การวาดเขียน
ไอ้ความสำเร็จในการปฏิบัตินี้มันมีเรื่องติดไปด้วย
ปัญญา วิปัสสนาภาวนา ปัญญากับจิตมันอยู่ร่วมกัน บางคน
นะไม่ต้องไปทำอะไรมันมาก มันรวมเข้าไปของมัน อย่างคน
ที่มีปัญญาไม่ต้องไปทำอะไรมันมาก เรื่องสมาธิคล้าย ๆ ที่ว่า
สมมติเราเป็นช่างวาดเขียน เราไปมองเห็นแล้ว และก็เข้าใจ ๆ
จนมันติดอยู่ในใจของเรา เราไปเขียนออกมาจากใจของเราได้
ไม่ต้องไปนั่งวาดอยู่ตรงนั้น คนที่ไม่เข้าใจคนนั้นต้องไปนั่ง
เขียนเสียก่อนให้มันซาบซึ้งเข้าไป อันนี้เรื่องปัญญาไม่ต้อง
ไปนั่งเขียน เรามามองดูก็เข้าใจ เขียนมันไปเลยก็ได้ มันเป็น
อย่างนี้
อาหารที่เราชอบ
อารมณ์ของสมถกรรมฐานนี้ถ้าไม่ถูกจริตของเรามัน
ก็ไม่สลดไม่สังเวช อันใดที่ถูกกับจริต อันนั้นก็จะประสบบ่อย ๆ
มีความรู้สึกนึกคิดในอาการนั้นบ่อยๆ แต่เราไม่ค่อยจะได้สังเกต
จึงควรสังเกตเพื่อให้ได้ประโยชน์
เปรียบเหมือนกับอาหารที่
เขาจัดมาให้สำรับหนึ่ง มันก็มีหลายอย่าง เราก็ชิมไปทุกถ้วย
ทุกอย่างนั่นแหละ แล้วก็จะรู้เองว่า อาหารอย่างไหนที่เราชอบ
อย่างไหนที่เราไม่ชอบ อย่างไหนชอบก็ว่ามีรสชาติอร่อยกว่า
อย่างอื่น นี่พูดถึงอาหาร
นี่ก็เทียบให้เห็นกับจริตของคนเรา กรรมฐานที่ถูก
จริตมันก็สบาย
ขายของ
ทีนี้ถ้าหากว่าเราเผลอไปนาทีหนึ่งก็เป็นบ้านาทีหนึ่ง
เราไม่มีสติสองนาที เราก็เป็นบ้าสองนาที ถ้าไม่มีสติครึ่งวัน
เราก็เป็นบ้าอยู่ครึ่งวัน เป็นอย่างนี้
สตินี้คือความระลึกได้ เมื่อเราจะพูดอะไรทำอะไร
ต้องรู้ตัว เราทำอยู่ เราก็รู้ตัวอยู่ ระลึกได้อยู่อย่างนี้ คล้าย ๆ
กับเราขายของอยู่ในบ้านเรา เราก็ดูของของเราอยู่ คนจะเข้า
มาซื้อของหรือขโมยของของเรา ถ้าเราสะกดรอยมันอยู่เสมอ
เราก็รู้เรื่องว่าคนๆนี้มันมาทำไม เราจับอาวุธของเราไว้อยู่อย่างนี้
คือเรามองเห็น พอขโมยมันเห็นเรา มันก็ไม่กล้าจะทำเรา
อารมณ์ก็เหมือนกัน ถ้ามีสติรู้อยู่มันจะทำอะไรเราไม่ได้
อารมณ์มันจะทำให้เราดีใจอยู่อย่างนี้ตลอดไปไม่ได้ มันไม่
แน่นอนหรอก เดี๋ยวมันก็หายไป จะไปยึดมั่นถือมั่นทำไม อัน
นี้ฉันไม่ชอบ อันนี้ก็ไม่แน่นอนหรอก ถ้าอย่างนี้ อารมณ์นั้นก็
เป็นโมฆะเท่านั้น เราสอนตัวของเราอยู่ เรามีสติอย่างนี้ เราก็
รักษาอย่างนี้เรื่อยๆ ไปตอนกลางวัน ตอนกลางคืน ตอนไหน ๆ
ก็ตาม
รับแขก
เรามาทำจิตของเราให้เป็นผู้รู้ตื่นอยู่ คอยรักษาจิต
ของเราอยู่ ถ้าแขกมาเมื่อไรโบกมือห้าม มันจะมานั่งที่ไหน
มีที่นั่งที่เดียวเท่านั้น เราก็พยายามรับแขกอยู่ตรงนี้ตลอดวัน
นี่คือพุทโธ ตัวตั้งมั่นอยู่ที่นี่ ทำความรู้นี้ไว้ จะได้รักษาจิต
เรานั่งอยู่ตรงนี้ แขกที่เคยมาเยี่ยมเราตั้งแต่เราเกิดตัวเล็ก ๆ
โน้น มาทีไรก็มาที่นี่หมด เราจึงรู้จักมันหมดเลย พุทโธอยู่คน
เดียว
พูดถึงอาคันตุกะ แขกที่จรมาปรุงแต่งต่าง ๆ นานา
เราให้เป็นไปตามเรื่องของมัน อาการของจิตที่เป็นไปตาม
เรื่องของมันนี่แหละเรียกว่า เจตสิก มันจะเป็นอะไร จะไป
ไหนก็ช่างมัน ให้เรารู้จักอาคันตุกะที่มาพัก ที่รับแขกมีเก้าอี้
ตัวเดียวเท่านี้เอง เราเอาผู้หนึ่งไปนั่งไว้แล้ว มันก็ไม่มีที่นั่ง
มันมาที่นี่ มันก็จะมาพูดกับเรา ครั้งนี้ไม่ได้นั่ง ครั้งต่อไปก็
จะมาอีก มาเมื่อไรก็พบผู้ที่นั่งอยู่ ไม่หนีสักที มันจะทนมากี่
ครั้ง เพียงพูดกันอยู่ที่นั่น เราก็จะรู้จักหมดทุกคน พวกที่ตั้ง
แต่เรารู้เดียงสาโน้น มันจะมาเยี่ยมเราหมดนั่นแหละ
บุรุษจับเหี้ย
วิธีกำหนดอารมณ์ จับอารมณ์ ให้รู้จักจิตของตน ให้
รู้จักอารมณ์ของตน เปรียบโดยวิธีที่บุรุษทั้งหลายจับเหี้ย เหี้ย
ตัวหนึ่งเข้าไปในโพรงจอมปลวกที่มีรูอยู่หกรู ก็ปิดรูนั้น ๆ
เสียห้ารู เหลือรูเดียวให้เหี้ยออกแล้วนั่งจ้องมองที่รูเดียวนั้น
เหี้ยออกมาก็จับได้ ฉันใด การกำหนดจิตก็ฉันนั้น ปิดตา ปิดหู
ปิดจมูก ปิดลิ้น ปิดกาย เหลือแต่จิตอันเดียวเปิดไว้ คือ การ
สำรวมสังวร กำหนดจิตอย่างเดียว
การภาวนา ก็เหมือนกับบุรุษจับเหี้ย คือ กำหนด
จิตให้อยู่ที่ลมหายใจ มีสติ ระมัดระวังรู้อยู่แล้ว กำลังทำอะไร
มีสัมปชัญญะ คือรู้ตัวว่ากำลังทำสิ่งนั้น ความรู้สึกที่เกิดขึ้นใน
จิตขณะนั้นคือรู้ตัวว่ากำลังทำสิ่งนั้น ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในจิต
ขณะนั้น ทำให้รู้จัก
แมงมุม
ได้ไปเห็นแมงมุมเป็นตัวอย่าง แมงมุมทำรังของมัน
เหมือนข่าย มันสานขายไปขึงไว้ตามช่องต่าง ๆ เราไปนั่ง
พิจารณาดูมัน ทำข่ายขึงไว้เหมือนจอหนัง เสร็จแล้วมันก็
เก็บตัวมันเองเงียบอยู่ตรงกลางข่าย ไม่วิ่งไปไหน พอมี
แมลงวันหรือแมลงอื่นบินผ่านข่ายของมัน พอถูกข่ายเท่านั้น
ข่ายก็สะเทือน พอข่ายสะเทือนปุ๊บ มันก็วิ่งออกจากรังทันที
ไปจับตัวแมลงไว้เป็นอาหาร เสร็จแล้วมันก็เก็บตัวของมันไว้
ที่กลางข่ายตามเดิม ไม่ว่าจะมีผึ้งหรือแมลงอื่นใดมาถูกข่าย
ของมัน พอข่ายสะเทือน มันก็วิ่งออกมาจับแมลงนั้น แล้วก็
กลับไปเกาะนิ่งอยู่ที่กลางข่ายไม่ให้ใครเห็นทุกทีไป
เห็นแมงมุมทำอย่างนี้ เราก็มีปัญญาแล้ว อายตนะ
ทั้งหก คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ใจนี้อยู่ตรงกลาง ตา หู จมูก
ลิ้น กาย แผ่พังพานออกไป อารมณ์นั้นเหมือนแมลงต่าง ๆ
พอรูปมาก็ถึงตา เสียงมาก็ถึงหู กลิ่นมาก็ถึงจมูก รสมาก็ถึงลิ้น
โผฏฐัพพะมาก็ถึงกาย ใจเป็นผู้รู้จัก มันก็สะเทือนถึงใจ แค่นี้
ก็เกิดปัญญาแล้ว
เราจะอยู่ด้วยการเก็บตัวไว้ เหมือนแมงมุมที่เก็บตัว
ไว้ในข่ายของมันไม่ต้องไปไหน พอแมลงต่าง ๆ มันผ่านข่าย
ก็ทำให้สะเทือนถึงตัว รู้สึกได้ก็ออกไปจับแมลงไว้ แล้วก็กลับ
อยู่ที่เดิม
ดูแมงมุมแล้วก็น้อมเข้ามาหาจิตของเรา มันก็เหมือน
กันเท่านั้น ถ้าจิตเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันกว้าง ไม่เป็น
เจ้าของสุข ไม่เป็นเจ้าของทุกข์อีกแล้ว ก็เห็นชัดได้อย่างนี้ มัน
ก็ได้ความเท่านั้นแหละ จะทำอะไรอยู่ก็สบาย ไม่ต้องการ
อะไรอีกแล้ว มีแต่การภาวนาจะเจริญยิ่งขึ้นเท่านั้น
หยดนํ้า สายนํ้า
จากจิตใจของเรานี้ให้พยายามสม่ำเสมอ ระวังรักษา
ศีลห้าไว้ มันผิดพลาดไป หยุด กลับมา รักษาไปอีก บางที
มันหลงพลาดไปอีก รู้แล้ว กลับมา อย่างนี้ทุกครั้งทุกคราว
สติมันถี่เข้า
เหมือนน้ำในกาน้ำ
เราปล่อยให้มันไหลเป็นหยด
ต๋อม ต๋อม ต๋อม นี่สายน้ำขาด เร่งปล่อยน้ำในกาขึ้นให้มาก
น้ำก็ไหล ต๋อม ๆ ๆ ๆ ที่เข้า เร่งเข้าอีก หายต๋อมเลยทีนี้ ไหล
เป็นสายติดกันเลย เป็นสายน้ำ หยดน้ำไม่มี มันไม่หายไปไหน
มันกลายเป็นสายน้ำ มันถี่จนติดกันอย่างนี้
การเลี้ยงควาย
เรื่องปฏิบัติก็เช่นกัน เมื่อเราดูจิตของเราอยู่ ผู้รู้ดูจิต
เจ้าของ ผู้ใดตามดูจิตผู้นั้นจักพ้นบ่วงของมาร
เปรียบเหมือนกับเราเลี้ยงควาย หนึ่งต้นข้าว สอง
ควาย สามเจ้าของควาย ควายจะกินต้นข้าว ต้นข้าวเป็นของ
ที่ควายจะกิน จิตของเราก็เหมือนควาย อารมณ์คือต้นข้าว
ผู้รู้คือเจ้าของควาย เวลาเลี้ยงควายก็คอยตามดูไม่ให้กินต้น
ข้าว ปล่อยควายไป แต่ก็พยายามดูมัน ถ้ามันเดินไปใกล้ต้น
ข้าว เราก็ตวาดมัน ควายได้ยินก็จะถอยออก แต่เราอย่าเผลอ
นะ อย่าไปนอนหลับกลางวันก็แล้วกัน ถ้าขืนนอนหลับ ต้น
ข้าวหมดแน่ ๆ
ฟาดควาย
จิตของเราก็เหมือนควาย อารมณ์คือต้นข้าว ผู้รู้
เหมือนเจ้าของ เวลาเราไปเลี้ยงควายทำอย่างไร ปล่อยมันไป
แต่เราพยายามดูมันอยู่ ถ้ามันเดินไปใกล้ต้นข้าว เราก็ตวาดมัน
ควายได้ยินก็จะถอยออก แต่เราอย่าเผลอนะ ถ้ามันดื้อไม่
ฟังเสียงก็เอาไม้ฆ้อนฟาดมันจริง ๆ มันจะไปไหนเสีย
คัดตัวบรรจง
การนั่งสมาธิแบบเดิมก็นั่งขาขวาทับขาซ้ายมือขวาทับ
มือซ้าย ตั้งกายตรง บางคนก็ว่าเดินก็ได้ นั่งก็ได้ คุกเข่าจะได้
ไหม? ได้ แต่ว่าเราเป็นนักเรียนใหม่ เรียนหนังสือต้องคัดตัว
บรรจงเสียก่อน ให้มันมีหัว มีหางเสียก่อน ถ้าเราเข้าใจดีแล้ว
เราเขียนอ่านเอง เราเขียนหวัดไปก็ได้ อย่างนี้ไม่ผิด แต่แบบ
เดิมมันต้องทำอย่างนั้นเสียก่อน
หว่านข้าว
นั่งดูลมเข้าลมออก ให้สบายอยู่อย่างนั้น อย่าให้มัน
หลง ถ้าหลงก็ให้หยุด ดูว่ามันไปไหน มันจึงไม่ตามลม ให้หา
มันกลับมา ให้มันมาแล่นตามลมอยู่อย่างนั้นแหละ แล้วก็จะ
พบของดีสักวันหนึ่งหรอก ให้ทำอยู่อย่างนั้น ทำเหมือนกับว่า
จะไม่ได้อะไร ไม่เกิดอะไร ไม่รู้ว่าใครมาทำ แต่ก็ทำอยู่เช่นนั้น
เหมือนข้าวอยู่ในฉาง แล้วเอาไปหว่านลงดิน ทำเหมือนจะทิ้ง
หว่านลงในดินทั่วไปโดยไม่สนใจ มันกลับเกิดหน่อ เกิดกล้า
เอาไปดำกลับได้กินข้าวเม่าขึ้นมานั่นแหละเรื่องของมัน
สอนเด็ก
บางทีก็หายใจไม่ถูกต้อง มันยาวเกินไป มันสั้นเกิน
ไป เลยวุ่นวาย อันนี้ก็เพราะเรากำหนดมันเกินไป ไปบีบมัน
เกินไป มันถึงเป็นอย่างนั้น ก็เหมือนเด็ก ๆ น่ะแหละ สอนให้
มันนั่งสอนทีไรเฆี่ยนทุกทีน่ะ เด็กมันจะมีความฉลาดขึ้นมาไหม
ไปบังคับมันจนเกินไป อันนี้ก็เหมือนกัน ถ้าเรามาคิดดูว่า
เมื่อเราเดินจากบ้านไปสวน หรือเดินจากบ้านไปทำงาน ทำไม
มันไม่รำคาญเพราะลม ก็เพราะเราไม่ไปยึดอะไรมัน เพราะ
เราปล่อยตามเรื่องมัน อวัยวะส่วนใดที่มันปวดน่ะ เพราะ
เราไปเพ่งไปกำหนดมันเกินไป
ส่งญาติ
ดูลม ให้กำหนดลม เอาจิตนั่นแหละไปรวมอยู่ที่ลม
คือให้รู้ที่ลมในเวลานั้น ไม่ต้องไปรู้อะไรมากมาย กำหนดให้
จิตมันน้อมไปๆ ละเอียดไป ๆ เรื่อย ๆ ไป จนกว่าจะมีความรู้
สึกน้อย ๆ มันจะมีความตื่นอยู่ในใจมากที่สุด
อันนี้เวทนาที่เกิดขึ้นมาจะค่อย ๆ ระงับไป ๆ ผลที่สุด
เราก็ดูลมเหมือนกับญาติมาเยี่ยมเรา เราก็จะตามไปส่งญาติ
ขึ้นรถลงเรือ เราก็ตามไปถึงท่าเรือ ไปถึงรถ เราก็ส่งญาติ
เราขึ้นรถ เราก็ส่งญาติเราลงเรือ เขาก็ติดเครื่องเรือเครื่องรถ
ไปลิวเท่านั้นแหละ เราก็มองไปเถอะ เมื่อญาติเราไปแล้ว เรา
ก็กลับบ้านเรา เราดูลมก็เหมือนกันฉันนั้น เมื่อลมมันหยาบ
เราก็รู้จักเมื่อลมมันละเอียดเราก็รู้จักเมื่อมันละเอียดไปเรื่อย ๆ
เราก็มองไป ๆ ตามไป น้อมไป ๆ ทำจิตให้มันตื่นขึ้น ทำลมให้
มันละเอียดเข้าไปเรื่อย ๆ ผลที่สุดแล้วลมหายใจมันน้อยลง ๆ
จนกว่าลมหายใจไม่มี มันก็จะมีแต่ความรู้สึกเท่านั้นที่ตื่นอยู่
ไก่ในกรง
เรื่องสติกับจิตควบคุม พอถึงกันแล้วก็จะมีความรู้สึก
อย่างหนึ่ง ถ้าจิตมันพอที่จะสงบแล้ว จิตที่มันถูกคุมขังอยู่ใน
ที่สงบ เหมือนกับเรามีไก่ตัวหนึ่งที่ใส่ไว้ในกรงนั้น ไก่ที่อยู่ใน
กรงนั้นมันไม่ออกไปจากกรง
แต่ว่ามันเดินไปเดินมาได้ใน
กรงนั้น อาการที่มันเดินไปเดินมานี้ไม่เป็นอะไร เพราะมัน
เดินไปเดินมาอยู่ในกรงความรู้สึกของจิตที่เรามีสติสงบอยู่นั้น
มีความรู้สึกในที่สงบนั้น ไม่ใช่เรื่องที่มันให้เราวุ่นวาย คือเมื่อ
มันคิด มันรู้สึก ให้มันรู้สึกอยู่ด้วยความสงบ ไม่เป็นอะไร
ลิง
ยกตัวอย่างเช่น สมมติว่าที่บ้านโยมมีลิงหนึ่งตัว โยม
เลี้ยงลิงตัวหนึ่ง ลิงมันไม่อยู่นิ่งหรอก เดี๋ยวมันจับโน่นเดี๋ยว
มันจับนี่สารพัดอย่าง ลิงมันเป็นอย่างนั้น ถ้าโยมมาถึงวัด
อาตมา วัดอาตมาก็มีลิงตัวหนึ่งเหมือนกัน ลิงอาตมาก็อยู่ไม่
นิ่งเหมือนกัน เดี๋ยวจับโน่นจับนี่ โยมไม่รำคาญใช่ไหม ทำไม
ไม่รำคาญล่ะ เพราะโยมเคยมีลิงมาแล้ว เคยรู้จักลิงมาแล้ว
“อยู่บ้านฉันก็เหมือนกันกับเจ้าตัวนี้อยู่วัดหลวงพ่อ ลิงหลวง
พ่อก็เหมือนลิงของฉันนั่นแหละ มันลิงอย่างเดียวกัน” โยม
รู้จักลิงตัวเดียวเท่านั้น โยมจะไปกี่จังหวัด จะเห็นลิงกี่ตัว
โยมก็ไม่รำคาญใช่ไหม? นี่คือคนรู้จักลิง ถ้ารู้จักลิงก็ไม่เป็น
ลิงซิเรา ฮือ ถ้าเราไม่รู้จักลิง เห็นลิงเราก็เป็นลิง ใช่ไหม?
เห็นมันไปคว้าโน่นจับนี่ก็ ฮือ ไม่พอใจ รำคาญไอ้ลิงตัวนี้ นี่
คือคนไม่รู้จักลิง
คนรู้จักลิงเห็นอยู่บ้านก็ตัวเดียวกันอยู่วัดถ้ำแสงเพชร
ก็เหมือนกันอย่างนี้ มันจะรำคาญอะไร เพราะเห็นว่าลิงมัน
เป็นอย่างนั้น นี่ก็พอ สงบแล้ว ถ้ามันดิ้นมันก็ดิ้นแต่ลิง เราไม่
เป็นลิง สงบแล้ว ถ้ามันโดดหน้าโดดหลัง โยมก็สบายใจไม่
รำคาญกับลิง เพราะอะไร เพราะโยมรู้จักลิง โยมจึงไม่เป็นลิง
ถ้าโยมไม่รู้จักลิง โยมก็รำคาญ โยมรำคาญ โยมก็เป็นลิง เข้า
ใจไหม นี่เรื่องมันสงบอย่างนี้
อารมณ์ เรารู้อารมณ์ เห็นอารมณ์ บางทีมันชอบ บาง
ที่มันไม่ชอบอย่างนี้ ก็ช่างมันเป็นไร มันเป็นเรื่องของมัน มัน
ก็เป็นอย่างนี้แหละ ก็เหมือนลิงน่ะแหละ ตัวไหน ๆ ก็ลิงอัน
เดียวกัน เรารู้อารมณ์ บางทีชอบบางทีไม่ชอบ เรื่องอารมณ์
เป็นอย่างนี้ ให้เรารู้จักอารมณ์ รู้จักอารมณ์แล้วเราปล่อยเสีย
อารมณ์มันไม่แน่นอนหรอก มันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ทั้งนั้นแหละ เราดูมันไปก็อย่างนั้นแหละ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ได้รับอารมณ์เข้ามาปั๊บ ฮี...ก็เหมือนกับเรามาเห็นลิง ลิงตัวนี้
กับลิงตัวที่อยู่บ้านเราก็เหมือนกันอย่างนี้มันก็สงบเท่านั้นแหละ
ช่วยยก
“สติสัมปชัญญะ” ทั้งสองนี้ก็เหมือนคนสองคนมัน
ไปยกเอาไม้อันหนึ่ง มันหนัก ไอ้คนที่สามนี้ไปมองดู เห็นมัน
หนักก็เข้าช่วย ถ้ามันหนักไม่ช่วยก็ไม่ได้ ต้องเข้าช่วย คนที่
เข้าช่วยนี้คือ ปัญญา อยู่ไม่ได้ อันนั้นถ้ามีสติสัมปชัญญะแล้ว
ปัญญาก็ต้องวิ่งเข้ามาหา
น้ำไหลนิ่ง
โยมรู้จักน้ำที่มันไหลไหม เคยเห็นไหม น้ำนิ่งโยมเคย
เห็นไหม ถ้าใจเราสงบแล้ว มันจะเป็นคล้าย ๆ กับน้ำมันไหล
นิ่ง โยมเคยเห็นน้ำไหลนิ่งไหม
ตรงนั้นแหละ ตรงที่โยมคิดไม่ถึงหรอกว่า มันเฉยมันก็
เกิดปัญญาได้ เรียกว่าดูใจของโยม มันจะคล้ายน้ำไหล แต่ว่า
นิ่ง ดูเหมือนนิ่ง แต่ว่าดูเหมือนไหล เลยเรียกว่า น้ำไหลนิ่ง
มันจะเป็นอย่างนั้น ปัญญาเกิดได้
ทําเลข
ธรรมะก็เหมือนกับการทำเลข มันมีวิธีคูณ มีวิธีแบ่ง
มีวิธีบวก มีวิธีลบ ถ้าเราคิดได้อย่างนี้ก็จะเป็นคนฉลาด รู้จัก
กาล รู้จักเวลา ควรลบก็ลบ ควรคูณก็คูณ ควรแบ่งก็แบ่ง
ควรรวมก็รวมกันเข้า ถ้าคูณทุกที ใจคนมันจะตายอยู่แล้ว
คือ เรื่องไม่รู้จักพอนั่นเอง ไม่รู้จักพอก็ไม่รู้จักแก่
คนรู้จักแก่ คือคนรู้จักพอ ถ้ามันพอแล้ว คำที่ว่า เอาละ
มันก็พ้นขึ้นมา แต่ถ้าไม่พอ คำว่า เอาละ ก็ไม่พ้นขึ้นมา ก็
เอาตะพึดไม่เคยเหวี่ยง ไม่เคยปลงไม่เคยวางทั้งสิ้น เอาตลอด
ถ้า เอาละ มันก็สบาย มันพอแล้ว
ท่อนไม้ในคลอง
เปรียบเสมือนหนึ่งว่า เราตัดไม้สักท่อนหนึ่ง เอาทิ้งลง
ในคลอง แล้วมันก็ไหลไปตามน้ำในคลองนั้น ถ้าท่อนไม้ท่อน
นั้นมันไม่ผุ ไม่เน่า ไม่ฟัง มันไม่ติดอยู่ฝั่งโน้น ฝั่งนี้ มันก็ไหล
ไปตามคลองอยู่เรื่อยไป ผมเชื่อแน่ว่าจะถึงทะเลใหญ่เป็นที่สุด
อันนี้ก็เหมือนกันฉันนั้น พวกท่านทั้งหลายประพฤติปฏิบัติ
ตามแนวทางของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราแล้ว
เดินไปตามมรรคที่พระองค์ทรงสอน เดินไปตามกระแสให้
มันถูกต้อง ให้มันพ้นจากสิ่งทั้งสอง สิ่งทั้งสองอย่างนั้นคือ
อะไร คือสองข้างที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ อันไม่ใช่ทางของ
สมณะที่จะคิดไปที่จะเอาจริงเอาจังกับสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น คือ
กามสุขัลลิกานุโยโคประการหนึ่ง กับอัตตกิลมถานุโยโคอีก
ประการหนึ่ง อันนี้แหละเรียกว่าฝั่ง ฝั่งทั้งสองข้าง ฝั่งของ
คลอง ของแม่น้ำ ท่อนไม้ที่ปล่อยไปตามคลอง ตามกระแส
น้ำ ก็คือจิตของเรา
คลื่นกระทบฝั่ง
เรื่องทุกข์ เรื่องไม่สบายใจ นี่มันก็ไม่แน่หรอกนะ
มันเป็นของไม่เที่ยง เราจับจุดนี้ไว้ เมื่ออาการเหล่านี้มันเกิด
ขึ้นมา เรารู้มันเดี๋ยวนี้ เราวาง กำลังอันนี้จะค่อย ๆ เห็นทีละ
น้อย ๆ เมื่อมันกล้าขึ้น มันข่มกิเลสได้เร็วที่สุด ต่อไปมันเกิด
ตรงนี้ มันดับตรงนี้ เหมือนกับน้ำทะเลที่กระทบฝั่ง เมื่อขึ้น
มาถึงฝั่งมันก็ละลายเท่านั้น คลื่นใหม่มาอีก มันก็ละลายต่อ
ไปอีก มันจะเลยฝั่งไปไม่ได้ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือฝั่งทะเล
อารมณ์ทั้งหลายที่ผ่านเข้ามา มันก็เท่านั้นแหละ
เลื่อย
แต่เมื่อมันรู้เห็นหมดแล้วธรรมะก็ไม่ได้แบกเอาไป
ด้วย อย่างเลื่อยคันนี้ เขาจะเอาไปตัดไม้ เมื่อเขาตัดไม้หมด
แล้ว อะไรก็หมดแล้ว เลื่อยก็เอาวางไว้เลย ไม่ต้องไปใช้
อีก เลื่อยคือธรรมะ ธรรมะต้องเอาไปปฏิบัติ เพื่อให้บรรลุ
มรรคผล ถ้าหากว่ามันเสร็จแล้ว ธรรมะที่อยู่ก็วางไว้ เหมือน
เลื่อยที่เขาตัดไม้ ท่อนนี้ก็ตัด ท่อนนี้ก็ตัด ตัดเสร็จแล้วก็วาง
ไว้ที่นี่อย่างนั้น เลื่อยก็ต้องเป็นเลื่อย ไม้ก็ต้องเป็นไม้ นี่
เรียกว่า ถึงหยุดแล้ว ถึงจุดของมันที่สำคัญแล้ว สิ้นการตัดไม้
ไม่ต้องตัดไม้ ตัดพอ แล้ว เอาเลื่อยวางไว้