ปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน
พระครูเกษมธรรมทัต (สุรศักด์ เขมรํสี)
ชีวิตประจำวัน
การปฏิบัติธรรมนั้น เป็นเรื่องที่จะต้องให้เป็นไปในชีวิตประจำวัน
หมายถึงว่า ชีวิตประจำวันของเราจะต้องมีการเคลื่อนไหวร่างกาย
มีการงานมีภารกิจส่วนตัวบ้าง ส่วนรวมบ้าง เรียกว่า
มีการกระทำออกไปทางกาย ทางวาจา ทางใจ
ชีวิตเราไม่ได้นิ่งอยู่กับที่ตลอดเวลา
ไม่มีใครจะมาอยู่กับที่ได้ตลอดเวลา คือนั่งอยู่ ตลอดเวลาไม่ได้
จำเป็นต้องเคลื่อนย้ายเปลี่ยนแปลงอิริยาบถ
เพราะอย่างน้อย ร่างกายนั้นมี ทุกข์ นั่งไปนานก็เป็นทุกข์ปวดเมื่อย
ก็จำเป็นต้องเคลื่อนย้ายเปลี่ยนอิริยาบถ เป็น ยืนบ้าง นอนบ้าง เดินบ้าง
แต่ไม่ว่าจะเป็นอิริยาบถไหน ก็ตกอยู่ในสภาพทุกข์ทั้งนั้น
แม้แต่ในอิริยาบถนอน ซึ่งเราจะชอบอิริยาบถนี้
แต่เราก็ไม่สามารถนอนได้ตลอดเวลาได้โดยไม่ต้องพลิกตัว ไม่สามารถอยู่ในท่าเดียวได้
นั่นก็เพราะว่ามันเป็นทุกข์
ร่างกายนี้มันเป็นทุกข์ ต้องเปลี่ยนแปลงอิริยาบถกันอยู่เรื่อย
เพื่อผ่อนคลายความทุกข์
แล้วนอกจากนี้ ชีวิตของเราก็ต้องมีการกิน มีการขับถ่าย
มีการทำอย่างอื่น เรียกว่า เป็นการงาน
เช้าขึ้นมาก็ต้องลุกขึ้นไป ล้างหน้า แปรงฟัน เข้าห้องน้ำ ห้องส้วม มีการอาบน้ำ
ถึงเวลาก็ จะต้องหุงหา ต้องรับประทานอาหาร ต้องล้างถ้วยชาม
มีการนุ่งห่มเสื้อผ้า มีการกวาด การถู มีการทำภารกิจ
ชีวิตประจำวันของเราก็มีอย่างนี้ทั้งนั้น
ดำรงอยู่ได้ด้วยอาหาร กินเข้าไปก็ต้องขับถ่ายออก
หมุนเวียนอยู่อย่างนี้ เป็นกิจการงานส่วนตัว อย่างนี้
นอกจากนี้ ยังมีงานเกี่ยวข้องกับสังคม เกี่ยวกับหน้าที่รับผิดชอบให้กว้างขวางออกไป
เช่น เราต้องทำงานเพื่อหาเงินมาจุนเจือชีวิตครอบครัว
จึงต้องมีการเดินทาง มีการพบปะ มีการใช้สมองคิดอ่าน เคลื่อนไหวร่างกาย
สรุปแล้ว ชีวิตจะต้องหมุนไปในการ ยืน เดิน นั่ง นอน
คู้ เหยียด เคลื่อนไหว ทำ พูด คิด กิน ดื่ม ขับถ่าย เป็นอยู่อย่างนี้
คือชีวิตประจำวัน
ธรรมเป็นอกาลิโก
แล้วเราจะปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวันได้หรือไม่?
ตามหลักคำสั่งสอนของพุทธศาสนา พระพุทธองค์ทรงแสดงถึงว่า
การปฏิบัติธรรมนี้ ธรรมเป็นอกาลิโก ปฏิบัติได้ และให้ผลได้ไม่จำกัดกาล
ฉะนั้น ก็ต้องปฏิบัติได้ เจริญภาวนา เจริญสติ เจริญกรรมฐาน หรือปฏิบัติธรรมได้ในชีวิตประจำวัน
เมื่อเราเข้าใจแล้วเช่นนี้
เราก็จะไม่บอกว่า ไม่มีเวลาปฏิบัติ
เพราะหากเรายังมีการหายใจอยู่ ถือว่านั่นแหละ เรายังมีเวลาปฏิบัติ
ผู้ที่ไม่มีเวลาปฏิบัติ คือคนที่ตายไปแล้ว หมดลมหายใจไปแล้ว
ไม่มีจิตใจทึ่จะทำการงาน หาความรู้สึกอะไรไม่ได้แล้ว
ถ้ายังมีจิตใจอยู่ ยังเป็นๆอยู่ หรือไม่ได้สลบตลอดเวลา ยังตื่นอยู่
ย่อมต้องมีเวลาปฏิบัติธรรม เพียงแต่ต้องทำความเข้าใจ และตั้งใจ
ปฏิบัติให้เป็นปกติประจำวัน
ประการแรก ต้องมีความตั้งใจ และทำความเข้าใจไว้ก่อนว่า
การปฏิบัติธรรมนั้น สามารถทำได้ในชีวิตประจำวัน
เพราะ ถ้าไม่ทำความเข้าใจเช่นนี้ มันจะปิดกั้นการปฏิบัติ
คือ เราจะไม่ยอมฝึกฝนที่จะเจริญสติสัมปชัญญะไว้
คอยแต่ว่า ถึงเวลาก็จะมานั่งสมาธิ นั่งพับเพียบ
มานั่งอยู่ต่อหน้าพระพุทธรูป จึงจะปฏิบัติได้
ยิ่งไปกว่านั้น บางคนก็อาจจะต้องเข้าวัด ถึงจะปฏิบัติ อยู่บ้านปฏิบัติไม่ได้
มันก็จะกลายเป็นอย่างนั้น มันก็จะเสียโอกาสไป
ทำความรู้สึกตัว เพียรเจริญสติ มีสัมปชัญญะ
ฉะนั้น ลำดับแรก เราต้องทำความเข้าใจว่า การปฏิบัติกรรมฐานทำได้ทุกเวลา
ทำได้ทุกโอกาส ด้วยการ หมั่นทำความระลึกรู้สึกตัว ที่เราปฏิบัติก็คือ
เพียรพยายามที่จะระลึกรู้สึกตัว มีความเพียรเรียกว่า อาตาปี สัมปชาโน สติมา
มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ
ที่ตั้งของสติ ' สติปัฏฐาน ๔ '
สติ คือ ความระลึกได้
สัมปชัญญะ คือ ความรู้ตัว การพิจารณา
เพียรที่จะระลึกรู้สึกตัวอยู่เสมอๆทุกขณะให้มากที่สุด
ส่วนมันจะเผลอ ก็เผลอไป แต่เราพยายามให้มีสติ ในวันหนึ่งๆ
และต้องเข้าใจต่อไปว่า แล้วจะเอาสติไปตั้งไว้ที่ไหน
ไประลึกที่ไหน สติต้องมีที่ตั้ง อันนี้เป็นเรื่องที่จะต้องรู้ ต้องศึกษา
ทำความเข้าใจว่า ที่ตั้งของสติ มีอะไรบ้าง ให้รู้จัก ที่ตั้งของสติ
ซึ่งเรียกว่าสติปัฏฐาน มีอยู่ ๔ ฐาน คือ กาย เวทนา จิต ธรรม
เอาสติตั้งไว้ คือ เพียรระลึกที่กาย ระลึกที่เวทนา ระลึกที่จิต
ระลึกที่ธรรม ประกอบด้วยความเพียร หมั่นทำความระลึกรู้สึกตัวในกาย
เวทนา จิต ธรรม อยู่เนืองๆ ด้วยการละอภิชฌาและโทมนัส
ในขณะที่ระลึกรู้ไปนั้น พยายามฝึกไม่ให้ยินดียินร้าย
ฝึกไม่ยินดียินร้าย ละอภิชฌา และ โทมนัส
ตามธรรมดาของปุถุชน มักจะตกไปในข้าง ยินดีบ้าง ยินร้ายบ้าง
ถ้าถูกใจ อารมณ์ที่ถูกใจ ก็คือ ยินดี เช่น รูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย ความสงบ
เป็นความสุขที่เกิดขึ้นในใจ ที่ไม่มีอามิสนั้นไม่มี
แม้เมื่อเกิดความสุขจากการปฏิบัติธรรม ก็มักเกิดความพอใจ
เรียกว่า อภิชฌา ความยินดี
แต่ในทางปฏิบัติ ต้องพยายามฝึกไม่ให้เกิดความยินดียินร้าย
เมื่ออารมณ์ปรากฏ ไปรับรู้อารมณ์อันใด ก็อย่าไปยินดียินร้าย
การที่จะเกิดโทมนัส การยินดียินร้าย ก็คือได้รับอารมณ์ที่ไม่ถูกใจ
ไม่ชอบใจ เช่นภาพที่ไม่สวย เสียงไม่เพราะ เสียงหนวกหู เสียงด่า เสียงว่า
กลิ่นเหม็น รสไม่อร่อย เครื่องสัมผัสทางกายไม่ดี ร้อนเกินไป
หนาวเกินไป มันปวด มันเจ็บ อันเนื่องมาจาก ความเย็น ร้อน
อ่อน แข็ง หย่อน ตึง ที่มีความรุนแรงมากเป็นทุกข์ ก็จะเกิดความยินร้าย
นั่งปฏิบัติธรรมไป จิตไม่สงบ ฟุ้งซ่าน ก็เกิดความยินร้ายไม่ชอบใจ
ในความไม่สงบนั้น
ฝึกทำใจให้เป็นกลาง
ต้องฝึกทำใจให้เป็นกลาง คือ ไม่ตกไปในข้างยินร้าย หรือ
ข้างยินดี มีความเพียร มีการระลึกได้ มีความรู้สึกตัว หรือ
การพิจารณา แต่ไม่ยินดียินร้าย ฝึกอย่างนี้ในชีวิตประจำวัน ระลึกกาย
เวทนา จิต ธรรม อยู่เนืองๆ
ระลึกที่กาย
ระลึกที่กาย มีอะไรบ้าง ?
สิ่งที่จะต้องระลึกทางกายมี ลมหายใจเข้าออก อิริยาบถทั้ง ๔
ระลึกรู้กาย ในขณะนั่ง ขณะยืน ขณะเดิน ขณะนอน อิริยาบถใหญ่ทั้ง ๔
นั่งก็ให้รู้เข้ามาที่ท่าทางกายที่นั่ง
ยืนก็ให้รู้เข้ามาที่ท่าทางของกายที่ยืน
นอกจากนี้ ก็ให้รู้ใน อิริยาบถย่อย ด้วย เช่น การคู้ การเหยียด
การก้ม การเงย การแลไปข้างหน้า เหลียวไปข้างซ้าย เหลียวไปข้างขวา
เดินหน้า ถอยหลัง ขยับตัวเคลื่อนไหวร่างกาย ให้พยายามระลึกอยู่
ในขณะที่กายกำลังปรากฏ อย่างนี้ ให้พยายามอยู่บ่อยๆ เนืองๆ
ระลึกรู้เวทนา ระลึกรู้ความรู้สึก
เวทนา คือ การเสวยอารมณ์
สุขเวทนา คือ ความสบาย ทุกข์เวทนา คือ ความไม่สบาย
อุเบกขา คือ เฉย ๆ ไม่สุก ไม่ทุกข์ พยายามระลึกรู้ถึงความรู้สึก เช่น
มันไม่สบาย ก็ระลึกรู้ถึงความไม่สบาย แต่อย่าไปยินดียินร้ายด้วย
พยายามฝึกจิตรับรู้ แต่ไม่ยินดียินร้าย ไม่เกลียดไม่ชัง ไม่ปฏิเสธ
ไม่กระวนกระวาย เวลามันเกิดสุขเวทนาสบายขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็น
สบายกาย สบายใจ ก็รับรู้ แต่ไม่เข้าไปยินดี รู้แล้ววางเฉย
หรือแม้แต่เวลาที่เกิดอุเบกขาเฉยๆ ก็ให้รู้ ไม่หลง แล้วสังเกต
การพิจารณาความเฉยๆ นั้น
รู้จิต
พยายามเพียร มีสติสัมปชัญญะ รู้สึก รู้จิตใจ เวลาจิตคิดนึก
ให้รู้ทัน เดี๋ยวมันคิดขึ้นมาอีก ก็รู้อีก ให้รู้ความคิด
จิตจะแวบไปแวบมา
ซัดส่ายไปในอารมณ์นี้ คอยติดตามรู้เท่าทันจิตอยู่เสมอ
พิจารณาธรรมในธรรม
เพียรมีสติ สัมปชัญญะ พิจารณาในธรรม เช่น อาการในจิต
พิจารณาดูว่า ขณะนี้นั้น มีอาการ มีความรู้สึกอย่างไร จิตมีราคะ
มีโทสะ มีโมหะ บางทีมันก็โกรธ ขุ่นมัว เศร้าหมอง บางทีก็ฟุ้ง
บางทีก็รำคาญใจ หงุดหงิด บางทีก็ท้อถอย บางขณะมันสงสัย
ว่าใช่ หรือ ไม่ใช่ ถูกหรือผิด สงสัยในการปฏิบัติ สงสัยใน
พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คิดสงสัยเรื่อยๆ ไป แต่ก็ระลึกรู้
ลักษณะให้เห็นว่า ธรรมชาติของแต่ละสิ่งมีลักษณะอาการเป็นเช่นไร
ให้พิจารณาธรรม ก็คือ พิจารณาธรรมชาติที่ปรากฏเป็นสิ่งที่มีอยู่จริงๆ
สังเกตปฏิกิริยาอาการ ตามธรรมชาติธรรมดาที่ปรากฎ
สังเกตไปว่า มันมีอาการปฏิกิริยาอย่างไร เช่น ตลอดทั้งเวลาเห็น
ทำสติระลึกรู้การเห็น เห็นแล้วรู้สึกอย่างไร ชอบหรือไม่ชอบ หรือเฉย ๆ
เวลาได้ยิน มีสติระลึกรู้สภาพได้ยิน แล้วสังเกตดูใจตนเอง
ว่ารู้สึกอย่างไร ชอบหรือไม่ชอบ เวลาได้กลิ่น ก็ระลึกรู้ แล้วก็ดูใจ
เวลาลิ้มรสอาหาร ก็ระลึกรู้ลักษณะการรู้รส แล้วก็ดูจิตใจ
ขณะสัมผัสทางกาย ความรู้สึกเย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน
ตึง มีมากระทบกาย ก็รับรู้สังเกตดู แล้วก็ดูใจซิว่า รู้สึกอย่างไร
เรียกว่ากำหนดไปในทวารทั้ง ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
กำหนดอายตนะ ๖
อายตนะทั้ง ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อายตนะ คือ ที่เชื่อมต่อ
ที่บ่อเกิด
อายตนะภายใน คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
อายตนะภายนอก ก็คือ สี เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์
โผฏฐัพพะ คือ เครื่องกระทบกาย คือ เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง
ธรรมารมณ์ เครื่องกระทบใจ ให้มีสติพิจารณารู้เท่าทันไป คือ
ธรรมชาติที่เป็นจริง
ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรมชาติของชีวิต
การปฏิบัติธรรม ก็คือ การศึกษาชีวิตจริง คือ ธรรมชาติจริงๆ
ไม่ใช่ชีวิตจริงโดยสมมุติ ว่า เราชื่อนั้นชื่อนี้
ทำงานตำแหน่งนั้นตำแหน่งนี้
หรือ เราเป็นพ่อเป็นแม่ เป็นลูก
คนนั้นคนนี้อย่างนี้เป็นความจริงโดยสมมุติ
ซึ่งไม่ใช่เนื้อแท้ตามความเป็นจริงของธรรมชาติชีวิต
การปฏิบัติธรรม ไม่ใช่ไปนึกคิดอย่างนั้น
โดยเฉพาะการปฏิบัติธรรมเจริญภาวนาเจริญวิปัสสนากรรมฐาน
เขาให้รู้ธรรมชาติที่มีอยู่จริงๆ เช่น เห็น ได้ยิน รู้กลิ่น รู้รส
รู้สัมผัส คิดนึก เหล่านี้
มันเป็นธรรมชาติ ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตนของเราเขา
ปฏิบัติธรรมเพื่อศึกษา
เพื่อให้รู้ว่ามันเป็นเพียงธรรมชาติ เท่านั้น
ธรรมชาติชีวิต ' ไม่มีตัวตน ' เพียงอิงอาศัยเหตุปัจจัย '
เกิด-ดับ '
คำว่า ธรรมชาติ หมายถึงว่า ปฏิเสธความเป็นสัตว์ ความเป็นบุคคล
เช่น การเห็น มันเป็นเพียงธรรมชาติ ไม่ใช่เราเห็น ไม่ใช่คนเห็น
แต่บุคคลจะหลงยึดว่าเป็นเรา ได้ยิน ก็ว่า เราได้ยิน
แต่ที่จริงมันเป็นธรรมชาติชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้น ทำหน้าที่ได้ยิน
แล้วก็ดับลง
ไม่ว่าจะเป็น การรู้กลิ่น รู้รส รู้สัมผัส คิดนึก ล้วนแต่คือ
ธรรมชาติชนิดหนึ่งๆ ที่ปรากฏเกิดขึ้น เราหันมาปฏิบัติธรรม ก็เพื่อ
พิจารณาให้เห็นว่า สิ่งเหล่านี้ ล้วนคือธรรมชาติ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา
ไม่ใช่สัตว์ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนอะไร เป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้น
เรียกได้ว่า
สิ่งต่างๆ หรือธรรมชาตินั้น มันมีมันเป็น โดยอิงอาศัยกัน
เพราะสิ่งนี้เกิด
จึงเกิดสิ่งนี้ เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับ ไม่ใช่ว่า
มันเป็นสัตว์เป็นบุคคล
หรือ ไม่ใช่ เป็นหญิง เป็นชายเป็นตัวตนอะไร
การปฏิบัติธรรม เพื่อต้องการให้เห็นความจริงของชีวิต
อันเป็นธรรมดาธรรมชาติ เช่นนี้
เห็นแจ้ง แจ่มประจักษ์ เป็นอัศจรรย์ใจ
ท่านทั้งหลายอาจคิดว่า ถ้าเช่นนั้น ก็ไม่เห็นจะน่าอัศจรรย์
หรือ วิเศษอะไร การรู้เพียงว่า ชีวิต คือ ธรรมชาติ ไม่ใช่สัตว์
ไม่ใช่บุคคล เราก็รู้กันอยู่แล้ว แต่มันเปํนความรู้จากการฟัง
แล้วเข้าใจ
จากการคิดนึก มันไม่ใช่การเห็นจริง
ส่วนการปฏิบัติธรรม ต้องการให้เห็นด้วยตัวเอง
เห็นแจ่มแจ้งชัดเจน ประจักษ์เฉพาะหน้า ไม่ได้คิดเอา นึกเอา ไม่ใช่ว่า
เรามาคิดสรุปเอาเองว่า มันไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน
อย่างที่เราได้ยินได้ฟัง
ซึ่งยังไม่ใช่ปัญญาแท้
ปัญญาแท้ ' ญาณความรู้แจ้ง '
ปัญญาแท้ จะต้องเกิดจากการเห็นด้วยตนเอง
เกิดญาณ เกิดความรู้ เกิดความแจ่มแจ้งชัดเจนขึ้นว่า
สิ่งที่ปรากฏเหล่านี้
เป็นเพียงธรรมชาติจริงๆ ปราศจากความเป็นสัตว์ เป็นบุคคลจริงๆ
ซึ่งการจะรู้เห็นอย่างนี้ได้ จำเป็นต้องพยายามที่จะศึกษาอยู่
คือ จะต้องใส่ใจสังเกตติดตามระลึกรู้ไม่ให้ลืม
ระลึก นี้คือ คอยติดตาม คอยเฝ้าดูอาการ เวลาเห็น
เวลาได้ยิน ไม่ให้ลืมว่าจะต้องใส่ใจ กำหนดรู้และศึกษา เวลาเดิน
ก็ไม่หลงลืม ไม่ปล่อยใจล่องลอยไปเรื่องอื่น
แต่ให้เกิดความระลึกรู้ขึ้นมา
พอระลึกแล้วก็ศึกษา ตัวศึกษานี้ คือ ตัวสัมปชัญญะ เป็นต้น
ปัญญา คือ สังเกตพิจารณา แต่ไม่ใช่นึกเอา ไม่ใช่พิจารณาแบบยืดยาว
เป็นเรื่องเป็นราว แบบนั้นไม่ใช่
ศึกษาให้รู้จริง ในขณะปัจจุบันปรากฏ
การศึกษาในการปฏิบัติ เป็นการศึกษาแค่ปัจจุบันแล้วก็ผ่านไป
สิ่งที่ปรากฏเป็นปัจจุบัน มันเป็นเพียงชั่วขณะนิดเดียว แวบเดียว
แล้วก็หมดไป พอระลึกรู้ชั่วขณะแวบเดียว แล้วก็ผ่านไป
แล้วก็ระลึกรู้ พิจารณาอันใหม่ แล้วก็ผ่านไปอีก รุดหน้าเรื่อยๆ ไป
แม้ว่ามันไม่ชัดเจน ก็ต้องผ่านไป จะมัวเก็บมาคิดนึกอีก มันก็
ไม่ชัดแจ่มแจ้งขึ้นมาได้ เพราะมันจะกลายเป็นความคิดนึกเอา
เพราะสิ่งที่ปรากฏให้มันดับไปแล้ว
แจ่มแจ้งสภาพธรรมว่า มิใช่ 'สัตว์-บุคคล-ตัวตน-เราเขา
อย่างเช่น ขณะที่ได้ยิน ทันทีที่ได้ยิน มันก็ดับไป ถ้าจะรู้ จะเห็น
จะแจ่มแจ้ง มันต้องแจ่มแจ้งขณะที่กำลังได้ยิน แล้วรู้ชัดขณะนั้นว่า
สภาพที่ได้ยิน ก็คือ ธรรมชาติที่ปรากฏ ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล
รู้เช่นนี้ แล้วดับลง และรู้พร้อมไปขณะนั้น โดยไม่ได้คิดเอา
แม้ขณะนึก ก็ไม่ใช่ตัวตน เรา เขา รู้ขณะนั้น และต้อง
รู้บ่อยๆ รู้มากขึ้น เพราะว่าสิ่งที่ปรากฏให้รู้ คือ ธรรมชาติ
มันปรากฏอยู่
ตลอดเวลา หมายถึงว่า มันทยอยกันเกิดขึ้นมา แล้วก็ทยอยกันดับไป
มันมีปรากฏอยู่มากมาย
สังเกตให้เห็นจริง เพื่อละอุปาทาน
อย่างที่กายนี้ ลองสังเกตดูว่ามีปรากฏการณ์ขึ้นมามากไหม
มีเย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง หย่อน ที่ปวด เจ็บ เมื่อย มีไหม
ล้วนเป็นธรรมชาติทั้งนั้น มีหลายอย่างปรากฏ
จิตใจ ก็เหมือนกัน มันมีอยู่ตลอดเวลาหรือไม่ ?
จิตใจนึกคิด เดี๋ยวนึก เดี๋ยวคิด เดี๋ยววิพากษ์วิจารณ์ ก็ทำความรู้สึก
ตามดูตามรู้ ลองสังเกตดูความรู้สึกในจิตใจไปด้วย
ว่ามันมีอยู่ตลอดเวลาไหม ?
เดี๋ยวก็รู้สึกชอบบ้าง ไม่ชอบบ้าง สงบบ้าง ไม่สงบบ้าง
ขุ่นมัวบ้าง ผ่องใสบ้าง ตรึก ฟุ้ง อะไรต่าง ๆ เหล่านี้ มีอยู่ตลอดเวลา
แต่มันเกิดขึ้น แล้วก็สลายหายไป แล้วก็เกิดขึ้นใหม่อีก สลับสับเปลี่ยน
เดี๋ยวชนิดนั้น เดี๋ยวชนิดนี้ ต่างๆเหล่านี้ คือ
ธรรมชาติที่ถ้าไม่สังเกต
ไม่พิจารณาดูจิต ก็ถูกอุปาทานยึดเหมาเอา เป็นตัวเป็นตน
เป็นคน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นเรา เป็นเขา เรียกว่าเป็นการหลงผิด
หลงกันไปตลอดทุกชาติ เป็นอย่างนี้เรื่อยไป ก็ไม่พ้นทุกข์
พ้นทุกข์ ด้วยปัญญารู้จริง
การจะพ้นทุกข์ ต้องมีปัญญารู้จริง คือ รู้จักชีวิตของตน
อย่างแท้จริง ว่า มันเป็นเพียงธรรมชาติ ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตนเราเขา
รู้อย่างแจ่มชัด จะทำลายกิเลสต่างๆ ได้ จึงพ้นทุกข์ คือ
ชีวิตไม่ก่อตัวขึ้นมาอีก ธรรมชาติอันนี้จะไม่ก่อตัวขึ้นมาอีก
แต่ถ้ายังไม่มีความรู้ คือ มีความหลง มีความยึดผิด
เห็นผิดอยู่ มันก็เท่ากับมีเหตุ มีปัจจัย ที่จะทำให้มันก่อตัวขึ้นมาอีก
เมื่อก่อตัวขึ้นมาแล้วก็จะทุกข์ คือ มันก่อเอาสิ่งที่เป็นทุกข์เกิดขึ้น
ทุกข์เพราะ 'ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ '
ร่างกายทุกสัดส่วนนี้ เป็นที่ตั้งของทุกข์ มีกายส่วนไหนก็
จะมีทุกข์ส่วนนั้น เช่น ต้องมีปวด มีเจ็บ มีเมื่อย มีร้อน มีหนาว
มีไม่สบาย เพราะร่างกายทุกส่วน มันจะสลายตัวอยู่ตลอดเวลา
มีจิตใจก็ต้องเป็นทุกข์อยู่ตลอด ไม่ว่าจะเป็น การเห็น
ได้ยิน รู้กลิ่น รู้รส ถ้าหากพิจารณาจริงๆ ก็จะเห็นว่ามันเป็นทุกข์
เพราะมันทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้
อวิชชา ตัณหา อุปาทาน เป็นที่อิงอาศัยของกิเลส
ฉะนั้น การที่จะเกิดปัญญารู้แจ้งเห็นจริง เรียกว่า
ถอนความเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขา นั้น ก็ต้องมีสติคอยระลึก
คอยพิจารณาสังเกตดูธรรมชาติในตนเอง จนเห็นว่ามันเกิดดับ
ธรรมชาติแต่ละชนิดนี้ จะมีการเกิดแล้วดับไป เกิดแล้วดับไป หมดไป
มากมายรวดเร็ว ทุกอย่างมีแต่หมดไปสิ้นไป ดูไปตรงไหนก็ล้วนหมดไปสิ้นไป
จึงเกิดปัญญาว่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ บังคับไม่ได้
มันก็เลยทำลายความเป็นตัวตน
ทำลายความยึดถือเป็นตัวเป็นตน ก็จะเป็นผู้ที่มีจิตใจสะอาดบริสุทธิ์ขึ้น
เพราะไม่มีสิ่งอันเป็นที่อาศัยของกิเลสต่างๆ คือ อวิชชา
เมื่อมีอวิชชา ตัณหาก็จะตามมา อุปาทาน ความยึดมั่น
ถือมั่น กิเลส โลภะ โทสะ โมหะต่างๆ ฟุ้งซ่าน หงุดหงิด
มันมีตามมาเป็นขบวน
กิเลสต่างๆเกิดขึ้นมากมาย เพราะความไม่รู้จริงนี่เอง
ถ้าทำลายความไม่รู้ออกไปได้ ก็ไม่มีกิเลสต่างๆ ที่จะตามมา
เกิดขึ้นในจิตใจได้
ปฏิบัติ กำจัดอวิชชา
การจะกำจัดอวิชชา ความหลง ให้หมดสิ้นได้ จำเป็นที่จะต้อง
ฝึกฝนประพฤติปฏิบัติ ซึ่งสามารถทำได้ในชีวิตประจำวัน
ควรลองฝึกทำ แม้แต่ในขณะปัจจุบันนี้ หากกำลังฟัง
ก็ระลึกรู้สึกตัวไปด้วย
ระลึกรู้การได้ยินเสียง รู้ความนึกคิด ระลึกรู้ความรู้สึกว่า
ใจรู้สึกอย่างไร
บางขณะก้รู้สึกกาย รู้สึกกายนั่ง รู้สึกกายเคลื่อนไหว
รู้สึกลมหายใจ ระลึกรู้การได้ยิน ระลึกรู้การเห็น ระลึกรู้ความคิดนึก
ระลึกรู้ความตรึก ความชอบ ไม่ชอบ ความสงบ เห็นว่าสิ่งเหล่านี้
มีแล้ว ก็สลายไป
นี่แหละ คือ ได้ปฏิบัติธรรมแล้ว ได้ยินแล้ว ระลึกรู้
ขณะหนึ่ง สติเกิดขึ้น ขณะหนึ่งแล้ว นั่งแล้ว ก็มีสติระลึกรู้ขึ้นมา
ขยับตัว
แล้วก็ระลึกรู้ได้สติขึ้นมาขณะนั้น
เคลื่อนไหวไป ก็มีสติรู้ทัน ไม่เคลื่อนไหวไปด้วย
ความหลง ไม่เคลื่อนไหวไปด้วยอวิชชา แต่เป็นการเคลื่อนไหวไปด้วยสติ
สตินั้นเป็นธรรมที่ประกอบกับกุศล
เมื่อเกิดการระลึกขึ้นมา ก็คือ มีสติ ขณะนั้น
จิตจะต้องเป็นกุศล กุศลจิตก็เกิดขึ้น
สร้างกุศลจิต ด้วยการ ' เจริญสติ '
ฉะนั้น ถ้าใครหวังว่า จะสร้างกุศลให้เกิดขึ้นมากๆ ก็ให้
เจริญสติ กุศลจิตก็จะเกิดขึ้น เท่ากับว่า ชีวิตประจำวันนั้น สามารถ
ทำกุศลได้ตลอด ทำบุญได้ตลอดเวลา
เดินไปด้วยสติ ก็เดินไปด้วยบุญกุศล นั่งมีสติ
ก็นั่งด้วยบุญกุศล เวลานอน มีสติรู้ไป ก็นอนด้วยบุญกุศล
แม้เวลาคิดมีสติ
ก็คิดด้วยบุญกุศล คู้ เหยียด เคลื่อนไหว มีสติรู้ทัน
ก็เป็นไปด้วยบุญกุศล
ได้ทำบุญตลอดเวลาสร้างกุศลอยู่สม่ำเสมอ
อกุศลกรรมที่เกิดในชีวิตประจำวัน
ตรงกันข้ามกับคนที่ไม่ปฏิบัติ นอกจากจะไม่ได้กุศลแล้ว
ยังกลับเป็นอกุศลอีก
อย่าคิดว่า การที่เราไม่ได้ฆ่าเขา ไม่ได้ไปลักขโมยเขา
ไม่ได้ประพฤติผิดในกาม ไม่ได้พูดโกหก ไม่ได้ดื่มสุราเมรัย แล้วเราจะ
ไม่ได้ทำบาปทำกรรมอะไร อกุศลก็จะไม่เกิด อย่าเข้าใจอย่างนั้น
เพราะความโลภก็เป็นบาป ความหลงก็เป็นบาป ฟุ้งซ่านหงุดหงิด
เร่าร้อน อิจฉาริษยา มานะทิฐิ ถือเนื้อ ถือตัว เป็นธรรมฝ่ายอกุศล
ฝ่ายบาปทั้งนั้น
อกุศลจิตเกิด เมื่อไม่เจริญสติ
มาพิจารณาดูว่า ในวันหนึ่งๆ มีความโกรธกี่ครั้ง บ่อยไหม
มีความโลภ มีความหลงเผลอเรอ มีความถือตัว มีความอิจฉาริษยา
มีความฟุ้งซ่าน หงุดหงิด ท้อถอย อยู่บ้างไหม เหล่านี้ คือ อกุศล
ทั้งนั้น
ท่านทั้งหลายอาจจะยอมรับว่า สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น
ในใจอยู่เสมอๆ นั่นก็แสดงว่า ถ้าไม่เจริญสติ ไม่ได้ปฏิบัติธรรม
จิตใจจะตกไปในฝ่ายอกุศลมากที่สุด แต่ในขณะใดที่ เจริญสติ
มีสติระลึกรู้ ขณะนั้นอกุศลไม่เกิด
จิตก็จะเป็นกุศลมันแย่งกันอยู่อย่างนี้
ถ้าไม่มีอกุศล มันก็เป็นกุศล
เห็นแล้วมีสติระลึกรู้ไหม ถ้าไม่มีสติระลึกรู้
อกุศลมันจะเกิดขึ้น ไม่โลภก็โกรธ ไม่โกรธก็หลง
ได้กลิ่นครั้งหนึ่ง ได้ลิ้มรส ได้สัมผัส เย็น ร้อน
อ่อน แข็ง หย่อน ตึง หรือ คิดนึก แต่ละครั้ง ถ้าไม่มีสติระลึกรู้แล้ว
ถ้าไม่ไปในทางโลภ หรืออย่างน้อยก็หลงเผลอเรอไป ล้วนเป็นอกุศลทั้งนั้น
แม้แต่เรากำลังนุ่งห่มผ้าเหลือง ผ้ากาสาวพัสตร์
ผ้าขาวอยู่ สิ่งเหล่านี้ก็ยังเกิดขึ้นในใจเรา
ลองดูซิว่าเรายังโกรธไหม ยังโลภ ยังหลง ฟุ้งซ่าน
หงุดหงิดหรือไม่
อกุศลไม่เคยเลือกเลยว่า เป็นใครที่ไหน มันเกิดขึ้น
อยู่ตลอดเวลาได้ง่าย ถ้าไม่ประพฤติปฏิบัติ จิตใจของเราก็จะเป็นฝ่ายบาป
เรียกว่า บาปแบบสามัญ
บาปแบบสามัญ
เป็นบาปที่เกิดขึ้นทั่วไปของปุถุชน ไม่ร้ายแรงถึงขั้นรุนแรง
ที่เป็นบาปชนิดที่เป็นอกุศลกรรมบถ ชนิดนำไปเกิดในอบายภูมิ
ความโลภ โกรธ หลง ธรรมดา ๆ อย่างนี้ ยังไม่ถึงขั้น
บาปร้ายแรง แต่มันก็ยังเป็นบาป เรียกว่า เป็นบาปทางใจ เป็นอกุศล
เกิดขึ้นตลอดเวลา มันก็ให้โทษเหมือนกัน คือ ในชีวิตประจำวัน
ก็เป็นทุกข์
เวลาโลภ โกรธ หลง เกิดขึ้นในจิตใจ ก็จะเป็นทุกข์
ร้อนอกร้อนใจ เศร้าหมองขุ่นมัว ทำอะไรไม่มีสมาธิ ไม่มีปัญญา
ไม่ถูกต้อง ไม่มีความสุขในการทำงาน เพราะมันมีกิเลสเกิดขึ้น
เจริญสติสัมปชัญญะ ลดกำลังของกิเลส
เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่า มีความจำเป็นมากที่จะต้อง
ประพฤติปฏิบัติธรรม เจริญสติสัมปชัญญะไว้เสมอ มิฉะนั้นกิเลสมันจะมาก
ความโลภ โกรธ หลง มันจะหนาแน่น
ถ้าเราเป็นนักปกิบัติ จงพยายามเจริญสติ สัมปชัญญะ
ในชีวิตประจำวันอยู่เสมอ กิเลสก็จะค่อยๆ ลดกำลังลง มันไม่ใช่ว่าจะ
ตัดไปทีเดียวได้หรอก ยังมีเผลอโลภ โกรธ หลงกันอยู่ แต่มันจะค่อยๆ
น้อยลง
ความรุนแรงของกิเลสจะลดกำลังลง
จากการที่เคยเป็นคนเอาแต่ใจตนเองเวลาโกรธ ไม่เคยยอมใคร
ไม่ไปทางปาก ก็ไปทางมือ หรือไม่ก็ทางตา เวลาโลภอะไรขึ้นมา
ก็ต้องหาให้ได้อย่างใจ ไม่เคยลดละตัดใจได้
แต่เมื่อเราฝึกสติสัมปชัญญะบ่อยๆ เราจะรู้สึกว่า
มันจะค่อยๆลดลง จากความโกรธที่รุนแรงก็เบาลง เป็นคนรู้จักฟังเขาพูด
มีเหตุผลขึ้น อดทนอดกลั้นได้มากขั้น รู้จักคำว่ายอม
ยอมเป็นจากที่ไม่เคยยอม
ก็ยอมได้
คนที่รู้จัก ' ยอม ' คือ คนที่ชนะใจตัวเอง
การที่เรายอมเขา ไม่ใช่เราเป็นคนอ่อนแอนะ คนที่ยอมคนนี่
แสดงว่ากล้าหาญ และเข้มแข็ง เอาชนะใจตนเองได้
ส่วนคนที่ไม่ยอมคน คือคนอ่อนแอ พ่ายแพ้ต่อกิเลสของตนเอง
ทนความเร่าร้อนในใจตนเองไม่ไหว อ่อนแอ ทำใจไม่ได้ ทนไม่ได้ เขาเรียกว่า
เป็นพาล คนพาล ก็คือ คนอ่อนแอ ทนต่อกิเลสไม่ได้
ฉะนั้น ชนะคนอื่นมากมายเป็นหมื่นเป็นแสน
ก็ไม่สำคัญเท่ากับเอาชนะใจตนเอง เอาชนะกิเลสตนเองได้สำคัญที่สุด
เราจึงไม่ควรไปเน้น เอาชนะคนอื่น แต่ควรหันมา เอาชนะใจตนเอง
ศัตรูที่แท้จริง อยู่ในใจตนเอง
ศัตรูที่แท้จริงอยู่ในใจตนเอง ที่จะฉุดคร่าเราไปสู่ความทุกข์ ไปสู่นรก
ศัตรูในใจเราก็คือ ความโลภ โกรธ หลง เป็นศัตรูอันแท้จริง
ส่วนคนอื่น เขาไม่สามารถจะมาทำอะไรเราได้
แม้เขาจะด่าเรา แกล้งเรา หากเรามีสติปัญญา รู้จักทำใจปล่อยวางสงบเย็น
ก็ไม่มีใครทำอะไรเราได้
แต่หากเรา ทนต่อกิเลสไม่ได้ เกิดผูกอาฆาตพยาบาท
แล้วทำอะไรที่เป็นโทษเป็นภัยต่อตนเองและผู้อื่นขึ้นมา
นั่นแหละ คือ สิ่งที่เป็นอันตรายที่สุด
เพียรปฏิบัติละกิเลส
ฉะนั้น จึงต้องเพียรพยายามปฏิบัติธรรมเจริญสติ
อาจจะฝึกจุดใหญ่ๆ ก่อนก็ได้ คือ ฝึกในอิริยาบถใหญ่ พยายามรู้ตัว
เช่น เวลานั่ง ให้รู้ตัว เวลาเดิน เวลานอน เวลายืน
รู้ตัวในท่าทางของกาย
ที่อยู่ในที่นั้นๆ หรือว่า ค่อย ๆ รู้รายละเอียด ไปถึงอิริยาบถย่อย
การจะเปลี่ยนอิริยาบถแต่ละครั้งให้รู้ คู้ เหยียด เคลื่อนไหว แล้วก็
นึกรู้ไปถึงความรู้สึก ความรู้สึกในกายที่มีการเคลื่อนไหว
มีความกระเพื่อม
มีความสั่นสะเทือนในกาย
ทุกส่วนในร่างกาย ศึกษาพิจารณาดูแล้ว
ก็ฝึกการรู้ไปถึงด้านจิตใจ ความรู้สึกนึกคิด ฟังอาการในจิตใจ
ว่ามันเป็นอย่างไร ในแต่ละขณะ แล้วก็ฝึกการปล่อยวาง การทำใจให้เป็นกลาง
ไม่ตกไปข้างยินดียินร้าย
ฝึกปล่อยวาง
ถ้าเราปล่อยวางเป็น มันก็จะเย็น เบา ว่าง ผ่องใส เบิกบาน
จะเห็นคุณค่าของการปฏิบัติ เวลาเจริญสติ สัมปชัญญะ จะเห็นว่ากิเลส
มันเบาลง เพราะถูกกำจัดไป สภาพจิตใจจะโปร่ง เบา ผ่องใสขึ้นตามลำดับ
แต่ถ้าเราทำยังไม่ได้ส่วน เจริญสติคอยระลึกคอยดูอยู่
แต่ดูด้วยกิเลสตามมาหนุน เช่น ความโลภมาคอยหนุน มีความชอบใจ
หรือ ไม่ชอบใจ เวลาดูไป พิจารณาไป จึงมีความร้อนใจ อยากให้
มันสงบลงบ้าง จะให้มันเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ ไปบังคับบ้าง
พอไม่ได้ดังใจ ก็ไม่พอใจ มันเลยไม่สงบ ไม่โปร่ง ไม่เบา
จึงต้องคอยสังเกต คอยฝึกหัดเตือนใจตัวเอง ไม่ให้เกินเลย
การปฏิบัติธรรม ต้องทำเป็นปกติ อย่าปล่อยให้เป็นเครื่องมือ
ของตัวตัณหาอุปาทาน กรรมฐานที่ทำไปด้วยอุปาทานนั้น ทำแล้วมันเป็น
ตัวเป็นตน ทำไปด้วยความยึดมั่นถือมั่น จ้องไป เพ่งไป จะเอาให้ได้
มันก็เลยไปยึดอารมณ์ไว้ ไม่ปล่อยวาง จึงไม่โปรง ไม่เบา
ก็เป็นธรรมดาของผู้ฝึกใหม่ ๆ ยังไม่ชำนาญ ยังไม่เป็นแท้ ก็ต้อง
ค่อยเป็นค่อยไป
ใหม่ๆ อาจจะได้แค่ฝึกจนมีสติเกิดขึ้น หายใจเข้าระลึกได้
หายใจออกระลึกได้ นั่งอยู่ระลึกได้ ยืนระลึกได้ เผวอไปบ้าง
หลงลืมไปบ้าง
แล้วกลับมาระลึกได้ ก็เพียรไปอย่างนี้ แพ้บ้าง ชนะบ้าง เวลาชนะขึ้นมา
ก็ยัง
ไม่ขาวสะอาด คือ มันยังไม่ชัดเจน ยังไม่ปกติ ก็ต้องอาศัยความอดทน
ฝึกไปเรื่อยๆ
จนกว่าจะชำนาญ
ธรรมจำเป็นต่อชีวิตประจำวัน
ถ้าเราฝึกจนมีความชำนิชำนาญขึ้น เราก็จะได้รับประโยชณ์
จากการปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน หากไม่เจริญสติ ไม่พยายามมีสติ
ไม่พยายามรู้ตัว จะเห็นว่ามีทุกข์มาก เดี๋ยวโลภ โกรธ หลง เดี๋ยวอึดอัด
แน่นอกแน่นใจ แต่ถ้าพอมีสติรู้ทันปล่อยวาง ก็จะเบาจิตโปร่งใจ
เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่า ธรรมมีความจำเป็นต่อชีวิต
ถ้าไม่พยายามที่จะมีสติ เดี๋ยวก็หนักอกหนักใจ ยึดมั่นถือมั่น
ให้พยายามฝึกให้มีสติ
แล้วจะโปร่งเบาขึ้น ฝึกฝนอย่างนี้ไปเรื่อยๆ
ก็หวังว่าคงจะพอเข้าใจว่า การปฏิบัติธรรมนั้นจะต้อง
ให้เป็นไปในชีวิตประจำวัน ซึ่งก็ไม่ได้มีอะไรมากมาย เพียงแต่
พยายามระลึกรู้สึกตัวอยู่เสมอๆ รู้กายตนเอง รู้ในเวทนา ในจิต ในธรรม
รู้ให้ได้ปัจจุบัน และฝึกหัดการปล่อยวางไปเรื่อยๆ สักวันหนึ่งจะค่อยๆเห็น
มีปัญญาเห็นสัจธรรมในชีวิตตนเอง เห็นทุกข์โดยความเป็นทุกข์
ก็จะละเหตุแห่งทุกข์
แล้วพบความดับทุกข์ เพราะเจริญข้อปฏิบัติ ให้เข้าถึงความดับทุกข์
ได้เต็มรอบอริยสัจจะทั้งสี่ ก็จะเกิดขึ้น แล้วก็จะมีที่พึ่ง
เข้าถึงศาสนาอย่างแท้จริง
ขอความสุข ความเจริญในธรรม จงมีแก่ทุกท่านเทอญ