ละอันหนึ่ง อันหนึ่งงอกงาม
หลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ

แต่งใจของเราให้ดี ให้ตั้งอยู่ในธรรมที่ดี ในส่วนที่เป็นกุศล เพื่อจะห่างไกลจากสิ่งที่ไม่ดี เราเชื่อในหลักธรรมคำสอนพระพุทธเจ้า เรื่องบาปเรื่องบุญ เรื่องสุขเรื่องทุกข์ ที่พระพุทธเจ้าพระองค์รู้แจ้งแทงตลอด ในสัจธรรมเหล่านี้ไม่เคยเปลี่ยนแปลง เป็นความจริงอยู่ตลอดกาล แต่จิตใจของเราเท่านั้นยังไม่ได้รับการอบรม ให้ยอมรับความจริงอันนี้ จึงยังหลงอยู่ จำเป็นจะต้องอบรมต่อไปอีก จนกว่าจิตของเรา ยอมรับทำตามได้ รู้ตามได้เห็นตามได้ ละตามได้พ้นตามได้ จนกว่าจะพ้นจากทุกข์จริงๆ ในสิ่งที่เราไม่ต้องการ

คำสอนของพระพุทธเจ้านั้น มีผู้นำมาใช้โดยศรัทธาความเชื่อความเลื่อมใส ด้วยความตั้งใจ ความเสียสละในสิ่งที่ควรเสียสละ ตัดในสิ่งที่ควรตัด เมื่อตัดบางสิ่งบางอย่างแล้ว บางสิ่งบางอย่างมันเกิดขึ้นได้ มันมีขึ้นได้ แต่ถ้าไม่ตัด.. บางอย่างที่เราต้องการ ความสงบก็ไม่บังเกิด เพราะฉะนั้นพอตัดอันหนึ่ง ทิ้งอันหนึ่งไปแล้ว ความสงบเกิดขึ้นแทน ความสุขเกิดขึ้นแทน เราควรเอาความสุข ควรเอาความสงบ ควรเอาการงานภาระของเราให้น้อยลง ให้เบาบางลง

เพราะฉะนั้น คำว่า”ละ” ไม่ใช่ว่าละแล้วไม่ได้อะไร ถ้าละแล้วสูญเปล่า พระพุทธเจ้าก็ไม่สอนให้ละ แต่เราละอันหนึ่งแล้ว อันหนึ่งงอกงาม เราเห็นสิ่งหนึ่งไม่ดี แต่สิ่งหนึ่งมันดีผ่องใส เช่น เห็นกายในกาย ที่พระพุทธเจ้าท่านให้เห็นตามความเป็นจริง ก็เพื่อกำจัดสิ่งที่หลอกลวง สิ่งที่ไม่จริง ที่มีอยู่ในจิตใจ ที่เคยหลงมาก่อน เพราะความจริงเท่านั้น ทำให้เรายึดมั่นได้ เป็นที่พึ่งได้ กำจัดภัยได้ เพราะความรู้จริงเห็นจริงตามสภาวะธาตุสภาวะ ธรรม ที่มีปัจจัยปรุงแต่ง ที่ทำให้เราและสัตว์ทั้งหลายเข้าใจผิดสำคัญผิด ยึดถือไปผิด เลยได้รับทุกข์จากความรู้ผิดเข้าใจผิด มาเป็นเวลายาวนาน ไม่ใช่เฉพาะปีนี้ หรือไม่ใช่เฉพาะแต่ชาตินี้ หลายชาติหลายภพมาแล้ว หมุนเวียนอยู่อย่างนี้ แต่เมื่อเราไม่รู้จักแล้ว ก็นึกว่าไม่มีอะไร

พระพุทธเจ้าพระองค์ทรงรู้เห็นตลอดเวลา เพราะพระปัญญาของพระองค์ละเอียด...ละเอียดอ่อน ของลึกลับขนาดไหน พระองค์ก็เห็นได้ จิตใจของเรา ฝึกฝนยังไม่พอ จึงรับยังไม่ได้ รู้ไม่ได้ แม้สิ่งเหล่านั้นมีอยู่ บาปมีอยู่บุญมีอยู่ นรกมีอยู่สวรรค์มีอยู่ แต่ก็ยังสงสัย เพราะไม่ประจักษ์ในใจ...ของเราเอง เมื่อตราบใด เราพยายามทำใจของเรา ให้มีญาณเป็นเครื่องรู้เครื่องเห็นขึ้นมาแล้ว เราก็จะสิ้นสงสัยทันที เมื่อเราไม่สงสัยแล้ว กำลังใจในการปฏิบัติ ก็เพิ่มขึ้นทันที

ความสงสัยนี่ เป็นตัวอุปสรรคอย่างสำคัญมาก เพราะฉะนั้นผู้ที่ตัดความสงสัยเสียได้ จึงเป็นผู้ที่เข้าเขตแดนอริยะ แก้ความสงสัยก็ด้วยการปฏิบัติจิตภาวนา สร้างสติสร้างปัญญาในสมาธิให้เกิดขึ้น ปรากฏในจิตใจของเรา เมื่อมันชัดในจิตใจแล้ว ความสงสัยก็เลิกไปเอง หมดไปเอง สิ่งใดที่ว่าละยาก ๆ ถ้าจิตมันเข้าไปถึง เข้าไปรู้ไปเห็นแล้ว เมื่อเราต้องการละ มันก็ละ ต้องการบำเพ็ญ มันก็บำเพ็ญให้เราเพราะฉะนั้นเราต้องพยายามอบรม จิตของเรานี้แหละ ให้รู้เห็นธรรมะที่ละเอียดไปตามลำดับ ที่ไม่สามารถที่จะไปเห็นด้วยตาธรรมดา ไม่สามารถสัมผัสได้ในจิตธรรมดา แต่สัมผัสได้...ในจิตที่ได้อบรม ละเอียดในองค์สมาธิ จึงจะสัมผัสได้ จึงจะรู้ได้

เพราะฉะนั้นพยายามรวบรวมจิตของเรา ให้มีอารมณ์อันเดียว มีจิตดวงเดียว มีธรรมอันเดียว ให้จิตเข้าสู่ความสงบความละเอียดไปตามลำดับ ตัดความวุ่นวายยุ่งเหยิงภาระภายนอก ไม่ให้มีอยู่ในจิตในใจ ปล่อยวางให้หมด สละให้หมด สละด้วยสติด้วยปัญญาอันชอบ สละด้วยความเห็นชอบ ไม่ต้องไปแก้ไขภายนอก คือสละในจิตนั้นเอง ไม่ต้องไปเกี่ยวข้อง ไปทำอะไรกับภายนอก เพราะวัตถุภายนอกนั้น เขาไม่เป็นมูลแห่งสุขและแห่งทุกข์ ส่วนมูลที่ให้เกิดสุขเกิดทุกข์ มันเป็นเรื่องของจิต

เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นอะไร ที่เราจะไปตัดสิ่งภายนอก จะไปแก้สิ่งภายนอก ด้วยกายด้วยวาจา แต่มาแก้จิตใจของเรา ด้วยสติปัญญาอันชอบ อันถูกต้อง ตามที่พระพุทธเจ้าองค์พาปฏิบัติพากระทำ เดินตามพระองค์ เชื่อตามพระองค์ ส่วนไหนที่เรารู้แล้วว่าไม่ดี ที่พระพุทธเจ้าท่านให้ละ เราก็อบรมจิตใจของเราให้เห็นชอบตาม ให้ละได้ตาม...นี่ ให้ปล่อยวางตาม สมาธิ...ควรทำจิตให้สงบ เราก็เห็นตามชอบตามสงบตาม ควรอยู่ในความวิเวก เราก็กำหนดจิตให้เกิดความวิเวก มีความปีติมีความสุขในธรรม เพราะอาศัยความวิเวก มีอารมณ์อันเดียว ที่ท่านยกย่องว่าผู้มีอารมณ์อันเดียว มีสติบริสุทธิ์ มีความสุข

อันนี้เป็นเรื่องจิต กับความคิดดำริอันชอบภายในเท่านั้นเอง ไม่เกี่ยวกับสิ่งอื่นเลย โดยเฉพาะจิตเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นเรื่องเฉพาะจิตอันนี้แหละ ถ้าสติเข้าไปรักษา ให้เป็นปัจจุบัน รู้อันมั่นคง ไม่วอกแวก ไม่ริบหรี่ เหมือนกับไฟเทียนที่ไม่มีลมพัด มันก็เที่ยง ถ้ามีลมพัดมาวิบแวบ ๆ อ่านหนังสือก็ไม่ออก รู้อะไรก็ไม่ชัด จิตที่มันไม่เที่ยงนี้แหละ ที่ไม่ขึ้นๆ ลงๆ ลุ่มๆ ดอนๆ ความรู้ที่เรา...รู้ให้มันตั้ง เหมือนกับหลักหินที่มันตั้ง ลมพัดจากทิศต่างๆ ไม่กระเทือนไม่หวั่นไหว

เราปฏิบัติจิตอบรมจิตให้มีสมาธิ ให้ตั้งอย่างนั้นแหละ อย่าให้มันหลวม อย่าให้มันโยกเยก ๆ ให้มันตั้งมั่น โดยสติเป็นผู้ระลึก สัมปชัญญะเป็นผู้รู้ สติระลึกเตือนคำบริกรรม กำกับให้มันทำงาน ไม่ให้เผลอ ไม่ให้ปล่อยทอดธุระ ละไปเอาอันอื่นมาแทน เอาเฉพาะจำกัด ที่เรามอบงานให้ทำ แม้นแต่นานเท่าไร เราก็ทำ ยอมรับทำอยู่อันเดียว เพื่อให้เกิดฐานอันมั่นคงก่อน สำหรับผู้ที่ยังไม่มั่นคง ยอม...ยังไม่รู้ไม่เห็นก็ตาม ให้เห็นความมั่นคงเกิดขึ้นในจิตใจก่อน ให้เห็นอันนี้ก่อน เป็นประตูแรก เป็นขั้นแรกของมรรคของการปฏิบัติ เพื่อออกจากทุกข์อย่างแท้จริง ได้ยินได้ฟังแล้ว ตั้งใจปฏิบัติ วันนี้อธิบายย่อๆ เท่านี้แหละ