จิตหลุดพ้นแล้ว ญาณย่อมมี
หลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

ค่าของความสนใจ ตั้งใจฟัง ที่พวกเรามาที่นี่ หรือมาเจริญสติ มา เจริญปัญญา การเจริญสติ การเจริญปัญญานั้นเรียกว่า เจริญวิปัสสนา การเจริญวิปัสสนานี้ มันเป็นขั้นปัญญา ไม่ใช่เป็นการรักษาศีล ให้ทาน หรือการทําสมถกรรมฐาน เหล่านั้น ไม่ใช่อย่างนั้น คนเราส่วนมาก ไม่สนใจเรื่อง เจริญสติ หรือเรื่องเจริญวิปัสสนา จึงเข้าใจหลักพุทธ ศาสนานี่น้อยเกินไป ไม่เข้าใจอย่างแท้จริง แม้จะบวชมา แล้ว ศึกษาเล่าเรียนพระไตรปิฎกก็ตาม ทุกวันนี้ ดูคน ถือพุทธศาสนานั้น ไม่ได้เข้าถึงเนื้อแท้ของพุทธศาสนา เป็นเพียงศาสนาเปลือกๆ เท่านั้น

สิ่งที่พระพุทธเจ้ามิได้สอน เรื่องการทําบุญ ให้ทาน รักษาศีล หรือทำสมถ กรรมฐานนั้น เขาสอนกันอยู่แล้ว หรือสอนมาก่อน พระพุทธเจ้าของเรา พระพุทธเจ้าของเราที่เราเคารพ นับถือว่า เป็นพระอรหันต์นั้น ไม่ได้สอนเรื่องนี้ ถ้าสอน เรื่องนี้ก็ต้องสอนซ้ำซากเขา อย่างที่ทำสมถกรรมฐาน จนได้อรูปฌานสมาบัติ ๘ ผู้ที่เคยได้บวชเรียนเขียนอ่าน ต้องรู้ ไม่ใช่เป็นการทำบุญ ให้ทาน รักษาศีล แม้เขา ทำสมถกรรมฐานจนได้อรูปฌานสมาบัติ ๘ แล้ว นั้น ไม่ใช่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าสอน เรื่องทุกข์ ทุกคนต้องรู้ว่า พระพุทธเจ้าสอนเรื่องทุกข์ คำว่าสอนเรื่องทุกข์นี้ หมายถึงอะไร ก็หมายถึงสอนให้ ไม่มีทุกข์นั่นเอง

รู้แจ้ง รู้จริง รู้จำ รู้จัก ดังนั้น คนเจริญวิปัสสนานั้น จึง (เป็น) ขั้นปัญญา ไม่ใช่เป็นขั้นทำบุญ ให้ทาน รักษาศีล, ขั้นปัญญา ขั้น รู้แจ้ง รู้จริงและรู้จริงๆ เรื่องนี้ ไม่ใช่รู้จำ, ไม่ใช่รู้จำ รู้จัก, รู้ รู้จักนั้น มันรู้กับ (จาก) เพื่อนพูดให้ฟัง หรือ จำมาจากตำรับตำรา ถ้าเป็นการรู้แจ้ง รู้จริงนั้น รู้ด้วย ปัญญา รู้ด้วยญาณทัศนะ เห็นแจ้ง รู้จริง

สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน ดังนั้น เรื่องนิพพานนี้ เรามาพูดกันเรื่องนิพพาน เรื่องไม่มีทุกข์ คนมีทุกข์ไปนิพพานไม่ได้ เพราะนิพพาน มันเป็นเรื่องไม่มีทุกข์เท่านั้นเอง คนใดยังมีทุกข์อยู่แล้ว จะไปนิพพานไม่ได้ ที่พูดนี้ ไม่ได้พูดเรื่องการทำบุญ ไม่ได้พูดเรื่องการรักษาศีล การให้ทานอื่นๆ ไม่ต้องพูด เพราะว่าเรื่องนี้พูดกันมานานแล้ว สำหรับผมพูดนี้คือ พูดเรื่องทุกข์เท่านั้นเอง ความทุกข์นั้น เราไม่เข้าใจ (คิด) ว่า ทุกข์ไม่มีเงิน ทุกข์ไม่มีทอง ไม่มีข้าว ไม่มีของ เรา เข้าใจกันอย่างนี้ แต่ความจริงพระพุทธเจ้าไม่ได้พูดอย่างนี้ พระพุทธเจ้าเป็น (พระ) มหากษัตริย์ ไม่เคยจนเงิน ไม่เคยจนอะไรทั้งหมดเลย แต่พระพุทธเจ้าเข้าใจว่า ทุกข์ คือความเดือดร้อน คือความโกรธ ความโลภ ความหลง นี่เอง หรือความพอใจ ความไม่พอใจนี่เอง พระพุทธเจ้า หาวิธีที่จะมาดับทุกข์เรื่องนี้

ทางมิใช่ทาง บัดนี้ เราก็เลยไปทำบุญ ให้ทาน รักษาศีล ทำ กรรมฐานเพื่อให้หมดอย่างนี้ แต่มันหมดไม่ได้ นี้แหละ พวกเราเคยศึกษาธรรมะว่า “ทาง” มิใช่ทาง เมื่อเราทำ ดูแล้ว มันยังดับไม่ได้ ก็หมายถึงว่า สิ่งนั้นยังไม่เป็น ทางดับทุกข์ แม้จะศึกษาเล่าเรียนพระไตรปิฎกจนจบ ก็ยังดับทุกข์ไม่ได้ มันก็ยังไม่ถูกต้องอยู่นั่นเอง บัดนี้ ตรงกันข้าม เมื่อเราไม่ศึกษาเล่าเรียนพระ ไตรปิฎกก็ตาม หรือว่าไม่ได้ทำอะไรก็ตาม เมื่อศึกษาให้ ทางดับทุกข์แล้ว อันนั้นแหละถูกต้อง

สมุฏฐานของความทุกข์ วิธีที่ผมจะนำมาพูดในขณะนี้ เพื่อทำความเข้าใจ กับพวกเราคือ ให้มีสติ, ให้มีสติ พระพุทธเจ้าท่าน สรรเสริญเรื่องมีสติเท่านั้น สิ่งอื่นนั้น พระพุทธเจ้าไม่ได้ สรรเสริญเท่าไร เพราะว่ามันดับทุกข์ไม่ได้ ความจริงแล้ว ความโกรธ ความโลภ ความหลงนั้น มันไม่ต้องมี เมื่อ เราจะหาความโกรธ ความโลภ ความหลง จะไปหาที่ไหน เพราะมันไม่มีสมุฏฐาน มันไม่มีต้นเหตุ มันไม่มีอะไร ทั้งหมดเลย สมุฏฐานต้นเหตุที่ทำให้ความโกรธ ความ โลภ ความหลงเกิดขึ้น คือเราขาดสติเท่านั้น เมื่อเรามี สติแล้ว ความโกรธ ความโลภ ความหลง ไม่ต้องมี

ผลของการขาดสติ ดังนั้น พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนให้เราเจริญสติ คนขาดสติลงไป วินาทีหนึ่งก็ตาม ห้านาทีก็ตาม ชั่วโมง หนึ่งก็ตาม สามารถทำให้เราเป็นได้ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็น สัตว์นรกก็ได้ เป็นเปรตก็ได้ เป็นอสุรกายก็ได้ เป็น สัตว์เดรัจฉานก็ได้ เป็นผีก็ได้ มันเป็นอย่างนั้น ดังนั้น คนใดที่ลืมตัวลงไปขณะหนึ่งนั้น เรียกว่าคนไม่มีสติ คนไม่มีสตินั้น ท่านมาเปรียบอุปมัยอุปมาว่า เหมือนกับ คนตาย แต่ไม่ใช่ตาย หมดลมหายใจนะ ตายจากความดี ความงาม, มันเน่า มันเหม็น เหมือนกับอุจจาระ ร้าย ไปกว่าอุจจาระอีกซะด้วย คนไม่มีสตินี้ สามารถพูดได้ ทำได้ คิดได้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผิดๆ ไปตามอารมณ์ตัวเอง

ผลของการมีสติ ดังนั้น คนมีสตินั้น สามารถทำให้เป็นคน เป็น มนุษย์ เป็นเทวดา หรือเป็นพระอริยบุคคลก็ยังได้ คนใดมีสตินั้นแหละ พระพุทธเจ้าท่านสรรเสริญว่า เรา คนหนึ่งถือพุทธศาสนา หรือเข้าใกล้กับพระพุทธเจ้า ดังนั้น จึงว่า รู้จำ รู้จัก รู้แจ้ง รู้จริง, รู้แจ้ง รู้จริงนั้น รู้ด้วย ปัญญา รู้ด้วยญาณ สามารถบังคับได้ทุกสิ่งทุกอย่าง สามารถมองเห็นสมุฏฐานความทุกข์ได้ ความทุกข์นั้น เกิดขึ้นเพราะเราขาดสติอย่างเดียวเท่านั้น เมื่อเรามีสติ ยับยั้งสั่งใจได้แล้ว กิเลสมันก็เกิดขึ้นไม่ได้ กิเลสมัน ไม่มีตัว ไม่มีตน จะไปหาสมุฏฐานมันได้ที่ตรงไหน เพราะมันไม่มีที่อยู่ มันไม่มีที่เกิด เรามองไม่เห็น เมื่อ เราขาดสติแล้ว มันก็เกิดขึ้นมาทันที พระพุทธเจ้าท่านจึง สอนให้เรามีสติควบคุมเอาไว้ เมื่อมีสติแล้ว มันสามารถ บังคับได้ทุกสิ่งทุกอย่าง อันนี้เป็นการพูด แต่วิธีทำน่ะ ทําอย่างไร

วิธีการเจริญสติ วิธีทำนั้น เรามากำหนดรู้ เรื่องรูปนาม เมื่อเรา กำหนดรู้รูปนามแล้ว รูปนามนี้ก็ยังสามารถบังคับไม่ได้ ยังไม่รู้สมุฏฐานคือความคิด ดังนั้น คนเราเป็นคนลืมตัว เกิดมาหลุดจากท้องแม่มาแล้ว ไม่เคยมองตัวเอง เมื่อ ยังเป็นเด็กๆ (อยู่) ก็มองมารดา อยากกินนม เมื่อเรา เติบโตขึ้นมา ก็หาของเล่น มองของเล่น เมื่อใหญ่เป็น หนุ่ม เป็นสาว ก็มองคนนั้นสวย คนนี้ไม่สวย คนนั้น รวย คนนี้จน เมื่อเป็นพ่อบ้าน แม่เรือนมาแล้ว ก็มองถึง ลูก ถึงหลาน มองถึงไร่นา อะไรต่างๆ จิปาถะ อันนี้ ชื่อว่า คนลืมตัว

วิธีรักษาสติให้อยู่กับตัว บัดนี้ วิธีที่ทำง่ายๆ อย่างลัดๆ จะรักษาศีลก็ได้ ไม่รักษาศีลก็ได้ จะให้ทานก็ได้ ไม่ให้ทานก็ได้ ไปไหน มาไหน อยู่ที่ใดก็ตาม คอยกำหนดจิตใจที่มันปรากฏ เกิดขึ้น เราต้องเห็น ต้องรู้ ต้องเข้าใจ เมื่อเราเห็น เรารู้ เราเข้าใจ ความปรากฏเกิดขึ้นนั้น มันหยุดทันที มัน ไม่ถูกปรุงไป

ต้นเหตุของความทุกข์ อันที่มันถูกปรุงไปนั้น มันเข้าหลักอวิชชา เรื่อง ปฏิจจสมุปบาทว่า อวิชชาแปลว่า ความไม่รู้ คือ ไม่รู้ ความคิดนี่เอง ไม่ใช่ ไม่รู้เงิน ไม่รู้ทอง ไม่อย่างนั้น อันมัน “รู้คิด” กับ มัน “เห็นความคิด” มันคนละเรื่อง อันมัน “รู้คิด” มันรู้คิดเป็นเรื่องเป็นราวไป นั้นมันรู้ ความรู้ อันนั้น พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่า ความรู้ของอวิชชา (ส่วน) ความรู้ของวิชชา มันคิดขึ้นมา เราเห็น เรารู้ เรา เข้าใจ เหมือนกับ หนูกับแมว ถ้าหนูโผล่ออกมา แมว มัน (ก็) จับ เมื่อแมวจับแล้ว หนูมัน (จะ) กระติกตัวไม่ได้ อันนี้ก็เหมือนกัน ถ้ามันโผล่คิดขึ้นมา เรามีสติ เราเห็น เรารู้ เราเข้าใจ ความคิดมันไม่ต้องถูกปรุงไป อันนี้ เรียกว่า มีสติ รู้แจ้ง เห็นจริง ตามความเป็นจริงที่พระ พุทธเจ้าท่านสอนเอาไว้ คนรู้อย่างนี้ (แล้ว) เป็นอย่างไร มันไม่มีทุกข์ ความทุกข์ไม่ต้องมี คือความโกรธ ความโลภ ความหลง ไม่ต้องมี ความอิจฉา ริษยา เบียดเบียน คนอื่น ไม่ต้องมี เพราะคนมีสติแล้วนี่ นี่ พระพุทธเจ้าสอนใกล้ๆ ไม่มาก ที่เราทำกันทุกวันนี้ เราไม่ได้ทำจุดนี้ คือเราไปทำเพื่อตายแล้วต้องไปเกิด นิพพานหรือไปสวรรค์ เราไม่รู้จักนิพพาน มันก็ไป นิพพานไม่ได้ ไม่รู้จักสวรรค์ มันก็ไปสวรรค์ไม่ได้ “สวรรค์” คนโบราณท่านสอนเอาไว้อยู่ในอก นรกอยู่ที่ใจ พระนิพพานก็อยู่ที่ใจนี่ คำว่าใจนี้ มันไม่มีตน ไม่มีตัว เราจะไปมองว่า (ที่) หัวใจ มันมองไม่ได้ คือสำหรับจิตใจ ที่มันปรากฏ มันนึก มันคิดขึ้นมานั้น (มัน) ซาบซ่านอยู่ ทั่วตัว มันอยู่ที่ตรงไหน ไม่รู้ ไม่เห็น ไม่เข้าใจ เพียง เรามีสติมากำหนด ความคิด มันคิดขึ้นมา มันจะคิด อย่างไรก็ตาม เรากำหนดรู้ทันที เมื่อเรากำหนดรู้แล้ว ความคิดมันหยุด มันก็เลยไม่ได้ปรุง อันนี้ เรียกว่า วิชชา, (วิชชา) แปลว่า รู้แจ้ง รู้จริง รู้จัก รู้จำ รู้อันนี้ รู้จริงๆ

ปัจจัยที่ทำให้เกิดความทุกข์ คำว่า อวิชชา แปลว่า ความไม่รู้ อวิชชา เป็นปัจจัยให้เกิด สังขาร สังขาร เป็นปัจจัยให้เกิด วิญญาณ วิญญาณ เป็นปัจจัยให้เกิด นามรูป นามรูป เป็นปัจจัยให้เกิด อายตนะ อายตนะ เป็นปัจจัยให้เกิด ผัสสะ ผัสสะ เป็นปัจจัยให้เกิด เวทนา เวทนา เป็นปัจจัยให้เกิด ตัณหา ตัณหา เป็นปัจจัยให้เกิด อุปาทาน อุปาทาน เป็นปัจจัยให้เกิด ภพ ก็เลยเป็นชาติ เป็นโสกะ ปริเทวะทุกข์ แน่ะ! ความทุกข์อยู่ที่ตรงนี้

ไม่จำกัดคุณสมบัติบุคคล ถ้าเราศึกษาหลักพุทธศาสนาจริงๆ แล้ว ศึกษา ไม่ยาก ไม่ลำบากลำบนอะไรทั้งหมด ทุกคนเจริญ (สติ) ได้ จะเป็นชนชาติไหน ภาษาใด ถือศาสนาไหนก็ตาม บวชก็ศึกษาได้ ปฏิบัติได้ ไม่บวชก็ศึกษาได้ ปฏิบัติได้ เช่นเดียวกัน

ธรรมะอยู่ที่ไหน ผมเป็นโยม ผมไปปฏิบัติธรรมะอันนี้ ผมรู้ ผม เป็นโยมนะ ไม่ได้เป็นพระ เป็นเณร อะไรนะ ผมเข้ามา บวชนี้ ผม (บวช) เพื่อจะมาฟื้นฟูหลักสัจธรรมคือ ความจริงที่เป็นค่าสอนของพระพุทธเจ้าจริงๆ ดังนั้น ผมจึงกล้ายืนยัน รับรองได้ เพราะว่าเป็นโยมก็ปฏิบัติได้ เป็นพระก็ปฏิบัติได้ การปฏิบัติธรรมะ ธรรมะอยู่ที่ไหน ธรรมะนั้นคือ (อยู่) ที่ตัวเรานี่เอง ไม่ใช่ธรรมะอยู่ที่อื่น แต่คนส่วนมาก เข้าใจว่า ธรรมะต้องอยู่ นอกตัวไป เป็นสี เป็นแสง เป็นนรก เป็นสวรรค์ เห็นนอกโลกไป อันนั้น คนนั้นชื่อว่า ยังไม่เข้าใจ, ยังไม่เข้าใจ เพียง เข้าใจนึกเดาเอาเอง เท่านั้นเอง

รู้จักกับสมมติและอุปกิเลส ความจริงธรรมะนั้น วิธีที่เราจะรู้จักจริงๆ รู้จำ รู้จัก รู้แจ้ง รู้จริงนี้ มันต้องรู้เรื่องรูปนาม รู้เรื่องรูปนามแล้วก็ (ต้อง) รู้ (เรื่อง) สมมติ หรือ รู้ (เรื่อง) ทุกขัง อนิจจัง อนัตตานี้ รู้สมมตินี้ อะไรๆ สมมติทั้งนั้น จึงว่า มัน มีมากเรื่องสมมติ มีสมมติขึ้นมาเฉยๆ แล้วก็สมมติ- บัญญัติขึ้นมา แล้วก็มีปรมัตถบัญญัติ แล้วก็มีอรรถ บัญญัติ แล้วก็มีอริยบัญญัติ แน่ะ! เป็นอย่างนี้ รู้อย่างนี้ แล้วก็ ต้องรู้ศาสนา รู้พุทธศาสนา รู้บาป รู้บุญ รู้จริงๆ รู้เรื่องนี้ รับรองได้จริงๆ รู้เรื่องนี้แล้ว มันเกิดวิปัสสนู ขึ้นมา, วิปัสสนู แปลว่า อุปกิเลส, วิปัสสนูคือกิเลส นั่นแหละ ตัวกิเลสนั่นแหละคือ วิปัสสน รู้นั้น รู้นี้ไป รู้ไม่มีที่สิ้นจบ, เรื่องวิปัสสนูรู้ รู้อันนั้น (รู้) อันนี้ รู้ นอกตัว รู้ในตัวจริงๆ เรียกว่า อริยสัจ สัจจะ แปลว่า ของจริง มันรู้จริงๆ อย่างนี้

ผลของการรู้รูปนาม เมื่อรู้อย่างนี้ ผมเลิกได้ทันที ในขณะที่ผมไปปฏิบัติ นั้น ผมสูบบุหรี่ พอดีผมมารู้เรื่องรูปนาม ผมเลิกได้ ทันที ไม่ต้องไปอ้อนวอนขอร้องจากใครที่ไหนเลย ผีผม ก็ไม่กลัว ตั้งแต่บัดนั้นมา หมาก พลู บุหรี่ เล่นการ พนันอะไรทั้งหมดนี่แหละเลิกได้ ไม่สงสัย เรื่องบาป บุญ นรก สวรรค์ ไม่ (ต้อง) ของแวะ ผี เทวดา ไม่ต้อง กลัวทั้งนั้น เพราะมันเป็นเรื่องสมมติพูดขึ้นมาเท่านั้น อันนี้เราไม่รู้จักสมมติ เราจึงกลัวผี กลัวเทวดา กลัวนรก กลัวสวรรค์ เราไม่รู้จัก ความจริง ผีคือการทำชั่ว พูดชั่ว คิดชั่ว เท่านั้นเอง เทวดาคือการทำดี พูดดี คิดดี หิริ- โอตตัปปะ (ที่) เราพูดกัน แต่เราไม่เข้าใจ นรกคือความ เดือดร้อน ความทุกข์ ความวุ่นวาย อยู่ที่ไหนไม่มีสุข ถ้าหากนรกมีจริง ตายแล้วก็ไปตกนรก เพราะมันมีความ ทุกข์ พระพุทธเจ้าท่านสอนอย่างนี้ สวรรค์ นิพพาน ก็เหมือนกัน ถ้าเรามีสวรรค์ มีนิพพาน อยู่ในตัวเราแล้ว เรื่องตายนั้นไม่ต้องสงสัย เพราะเรามีแล้ว เราเข้าถึงแล้ว ตัวสัจธรรม เราก็ไปได้ มันเป็นอย่างนั้นเข้าใจอย่างนี้ แต่ผมยังไม่ซาบซึ้ง แต่รู้จริงๆ เรื่องนี้ เรียกว่ารู้จัก รู้จำ รู้แจ้ง แต่ยังไม่รู้จริง, ยังไม่รู้จริง

จิตหลุดพ้นแล้ว ญาณย่อมมี ตอนที่ผมรู้จริง นี้แหละ ผมจะพูดความจริงให้ฟัง แล้วใครจะฟังก็ได้ ไม่ฟังก็ได้ ในขณะนั้น ผมเดิน เรียกว่า เดินจงกรม เดินไป เดินมา มันหลุดตัวมัน ถ้าจะเปรียบอุปมัยอุปมา เหมือนกับเรามีเข็มขัดรัดผ้า เราไว้ ผ้าเราหลุดตัวออกไป หลุดตัวออกไป มันก็หมด หมดผ้า ผ้ามันก็หลุดออกจากเนื้อจากตัวเรา ไม่มีผ้า ที่เนื้อที่ตัวเรา มันเป็นอย่างนั้น เมื่อผ้าหลุดออก มันก็ เบาตัวซิ เบาตัวทั้งหมดเลย แต่ไม่ใช่ผ้าจริงๆ นะ อันนี้ เรียกว่า “จิตหลุดพ้นแล้ว! จิตหลุดพ้นแล้ว!” ในตำรา เขาพูด (เขียน) อย่างนั้น เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ญาณ ย่อมเกิดขึ้น ย่อมมี, ญาณเกิดขึ้น ย่อมมี แน่ะ!, อันนี้ เราไปเรียนตำรา เราไม่ปฏิบัติ มันก็เลยไม่รู้จัก ไม่รู้แจ้ง ไม่รู้จริง

ธรรมะที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ เมื่อเป็นเช่นนี้ มันก็คิดฟุ้งเข้าไปถึงพระพุทธเจ้า “อ๋อ... พระพุทธเจ้าหลุดจากสิ่งเหล่านี้ สิ่งเหล่านี้ มัน หลุดออกจากเรา สิ่งนั้น มันไม่ต้องมี มันไม่ต้องมีจริงๆ เมื่อมันมี เราไปยึด ไปถือเอา เรียกว่า อุปาทาน นั่นเอง เมื่อเรามีอุปาทานแล้ว ก็ยึดติดเท่านั้น ดังนั้น คนติดนั้น จะไปสวรรค์ไม่ได้ ไปนิพพานไม่ได้ เรียกว่า อุปาทาน มันยึด มันติด มันเป็นเครื่องผูกพันเราอยู่อย่างนั้น” ดังนั้น ที่ผมได้ให้ข้อคิดเป็นเครื่องเตือนจิตสะกิดใจ วันนี้ ก็เห็นว่า สมควรแก่เวลาแล้ว เพราะจวนเวลาเรา จะออกไปบิณฑบาตแล้ว ถ้าหากมีโอกาสหรือมีเวลาดี จะพูดต่อไป แล้วก็นิมนต์คุกเข่า แล้วก็กราบกันได้

อารมณ์ของการเจริญสติด้วยวิธีเคลื่อนไหว ภาค ๑ อารมณ์สมมติ ต้องรู้ รูป-นาม รู้ รูปทำ-นามทำ รู้ รูปโรค- นามโรค รูปโรค นามโรค มี ๒ อย่าง คือ โรคทางกาย เจ็บหัวปวดท้อง เป็นบาดแผล ต้องไปหาหมอที่ โรงพยาบาล โรคทางใจ คือ โทสะ โมหะ โลภะ ต้อง อาศัยการเจริญสติวิธีนี้ แล้วต้องรู้ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา แล้วต้องรู้ สมมติ สมมติอะไรทั้งโลกรู้ให้จบ แล้วต้องรู้ ศาสนา รู้ พุทธศาสนา ศาสนา หมายถึง ตัวบุคคลทุกคนไม่ยกเว้น ศาสนาจึงแปลว่าคำสั่งสอน ของท่านผู้รู้ รู้ พุทธศาสนา พุทธะ แปลว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานด้วยธรรม คือตัวสติ ตัวสมาธิ ตัวปัญญา นี้เอง จึงให้เจริญปัญญา แล้วต้องรู้ บาป รู้ บุญ บาป คือ มืด โง่ ไม่รู้อะไร นั่นแหละ บุญ คือ ฉลาด รู้ รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง คนใดไม่รู้ ชื่อว่าคนนั้นยังไม่มีบุญ จบภาคต้น มันจะเป็นอุปสรรคที่ตรงนี้ เพราะว่า ไปติดความรู้ของ วิปัสสนู วิปัสสนูมันรู้ออกไปนอกตัว ไม่มีสิ้นจบ เราต้องถอนออกมา ไม่ต้องเข้าไปในความคิด

ภาค ๒ อารมณ์ปรมัตถ์ ให้ เอาสติมาดูความคิด มันคิดให้รู้ ให้เห็น ให้ เข้าใจ ให้สัมผัสได้ คิดปุ๊บติดปั๊บทันที ทำเหมือนแมว จับหนู หรือเหมือนนักมวยขึ้นเวทีต้องชกทันที ไม่ต้อง ไหว้ครู แพ้ชนะเป็นเรื่องของนักมวยต้องชกทั้งนั้น ไม่ต้อง รอใครทั้งนั้น หรือเหมือนกับขุดบ่อน้ำ เมื่อเจอน้ำแล้ว เป็นหน้าที่ ที่จะต้องวิดผม วิดเลน วิดน้ำออกให้หมด น้ำเก่าก็ตักออกให้หมด น้ำใหม่ก็ตักออกให้หมด บัดนี้ น้ำใหม่ที่อยู่ข้างในจะออกมา เราต้องกวนปากบ่อ ล้าง ปากบ่อ ล้างผมล้างเลนเหล่านั้น ทำบ่อยๆ น้ำจะสะอาด ขึ้นเอง เมื่อน้ำสะอาดแล้ว อะไรตกลงในบ่อ จะรู้ จะเห็น จะเข้าใจได้ทันที การตัดความคิดออกก็เช่นเดียวกัน ตัด ได้ไวเท่าใดยิ่งดีเท่านั้น แล้วให้เราเห็น วัตถุ เห็น ปรมัตถ์ เห็น อาการ วัตถุ หมายถึง ของที่มีในโลก ทุกสิ่งทุกอย่างในตัวคน และจิตใจของคนและสัตว์ ปรมัตถ์ หมายถึง ของที่มี อยู่จริง กำลังเห็นอยู่ มีอยู่ เป็นอยู่ เฉพาะหน้า สัมผัส ได้ด้วยใจ อาการ หมายถึง การเปลี่ยนแปลง สมมติน้ำสี มีเต็มกระป๋อง เดิมคุณภาพดีร้อยเปอร์เซ็นต์ ถ้าเอาไป ย้อมผ้า มันจะติดเนื้อผ้าไปร้อยเปอร์เซ็นต์ เมื่อเรารู้ เราเห็น สัมผัสได้ทางจิตใจ น้ำสีปริมาณเต็มกระป๋อง เหมือนเดิมแต่คุณภาพเสื่อมไปแล้ว เอาไปย้อมผ้าจะไม่ ติดเนื้อผ้าอีกเลย อันนี้ต้องเห็น ต้องรู้จริงๆ

แล้วเห็น โทสะ โมหะ โลภะ แล้วให้เห็น เวทนา เห็น สัญญา เห็น สังขาร เห็น วิญญาณ เห็น รู้ สัมผัสได้ เข้าใจจริงๆ เรื่องนี้ไม่ต้อง สงสัย ตอนนี้จะเป็น ปีติ เพียงเล็กน้อย ปีติจึงเป็นอุปสรรค ในการปฏิบัติธรรมเบื้องสูง เราไม่ต้องข้องแวะกับปีตินั้น เราต้องมาดูความคิด นี้เป็นอารมณ์ปรมัตถ์ขั้นต้นของ การเจริญสติแบบนี้ของผู้มีปัญญา ให้ดูความคิดต่อไป มันจะปรากฏมีความรู้ หรือ ญาณ หรือปัญญาญาณเกิดขึ้น เห็น รู้ เข้าใจ กิเลส ตัณหา อุปาทาน กรรม ฉะนั้นความยึดมั่นถือมั่นจะจืดลง คลายลง จางลง เหมือนกับนำสีที่ไม่มีคุณภาพ ย้อมผ้าจะไม่ติด ก็จะเป็นปีติขึ้นมาอีก ไม่ต้องข้องแวะกับปีตินั้น ให้ถอนความพอใจและไม่พอใจออกเสีย ให้ดูความคิดต่อไป ดูจิตใจที่กำลังนึกคิดอยู่ มัน จะมีญาณชนิดหนึ่งปรากฏเกิดขึ้น เห็น รู้ เข้าใจ ศีล ศีลขันธ์ สมาธิขันธ์ ปัญญาขันธ์ หรือ อธิศีลสิกขา อธิจิตตสิกขา อธิปัญญาสิกขา ขันธ์ แปลว่า รองรับ หรือต่อสู้ สิกขา แปลว่า บดให้ละเอียด หรือถลุงให้ หายไป

ศีล จึงเป็นเครื่องกำจัดกิเลสอย่างหยาบ กิเลส อย่างหยาบคือ (ขั้นที่ ๑) โทสะ โมหะ โลภะ นี่เอง (ขั้น ที่ ๒) กิเลส ตัณหา อุปาทาน กรรม เมื่อโทสะ โมหะ โลภะ กิเลส ตัณหา อุปาทาน กรรม จืดจาง คลายไป แล้ว ศีลจึงปรากฏ สมาธิ เป็นเครื่องกำจัดกิเลสอย่างกลาง กิเลส อย่างกลางคือ ความสงบ คือเห็น รู้ เข้าใจ จำพวก (ขั้น ที่ ๓) กามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ เพราะกิเลสเหล่านี้ เป็นกิเลสอย่างกลาง ทำให้จิตใจสงบ อันนี้เป็นอารมณ์หนึ่งของการเจริญสติแบบนี้ เมื่อ รู้อย่างนี้ เห็นอย่างนี้ มันจะไปรู้การให้ทาน รักษาศีล ทำกรรมฐานอีกด้วย ทุกแง่ทุกมุม แล้วมันจะเกิด ญาณปัญญา ขึ้นภายในจิตใจ (ขั้นที่ ๔) รู้การทำชั่วด้วยกาย เป็นบาปกรรม อย่างไร ถ้านรกมีจริง จะไปตกนรกขุมไหน รู้การทำชั่วด้วยวาจา เป็นบาปกรรมอย่างไร ถ้า นรกมีจริง จะไปตกนรกขุมไหน รู้การทำชั่วด้วยใจ เป็นบาปกรรมอย่างไร ถ้านรก มีจริง จะไปตกนรกขุมไหน รู้การทำชั่วด้วยกาย วาจา ใจ พร้อมกัน เป็นบาป กรรมอย่างไร ถ้านรกมีจริง จะไปตกนรกขุมไหน ตรงกันข้าม รู้การทําดีด้วยกาย เป็นบุญกุศลอย่างไร ถ้า สวรรค์นิพพานมีจริง จะไปอยู่สวรรค์นิพพานชั้นไหน รู้การทําดีด้วยวาจา เป็นบุญกุศลอย่างไร ถ้า สวรรค์นิพพานมีจริง จะไปอยู่สวรรค์นิพพานชั้นไหน รู้การทำดีด้วยใจ เป็นบุญกุศลอย่างไร ถ้าสวรรค์ นิพพานมีจริง จะไปอยู่สวรรค์นิพพานชั้นไหน รู้การทำดีด้วยกาย วาจา ใจ พร้อมกัน เป็นบุญ กุศลอย่างไร ถ้าสวรรค์นิพพานมีจริง จะไปอยู่สวรรค์ นิพพานซันไหน เท่านี่ล่ะครับ คล้ายๆ กับขาดปุ๊บ! จิตใจนี่สะเดิด (สะดุ้ง) ขึ้นเลยครับ จิตใจผมนี่ ขาดออกจากกัน ก็บ่แม่น ขาดก็แม่น ผมก็บ่เห็นจิตใจผมนี่ขาดโลด ขาดปุ๊บ สะเดิดขึ้นโลดครับผม ผมเดินจงกรมอยู่นี่ เดินไปเดินมา

จบอารมณ์ของการเจริญสติวิธีนี้ มันจะเป็นอย่าง มหัศจรรย์และยิ่งใหญ่ที่สุดที่มีอยู่ในจิตใจของคนทุกคน ไม่ยกเว้น ถ้าหากยังไม่รู้ในขณะนี้ จวนจะหมดลมหายใจ ต้องรู้แน่นอนที่สุด คนที่เจริญสติ เจริญปัญญา มีญาณรู้ คนที่ไม่ได้เจริญสติ ไม่ได้เจริญปัญญา จวนจะหมด ลมหายใจ ก็เป็นเหมือนกัน แต่เขาไม่รู้ เพราะเขาไม่มี ญาณ รู้แจ้ง เห็นจริง (ไม่ใช่รู้ รู้จัก) รู้ด้วยญาณปัญญา ของการเจริญสติจริงๆ รับรองได้ ท่านว่า ถึงที่สุดแล้ว ญาณย่อมมี ถึงที่สุดแล้ว ญาณก็ย่อมปรากฏขึ้น เมื่อไม่ถึงที่สุด ญาณปรากฏไม่ได้ พอดีญาณปรากฏขึ้นมา มันจะขาด ออกจากกันทั้งหมด ถอนผมขึ้นมา ดูที่ตรงนี้เลย เออ รากมันมีแค่นี้ ถ้าไม่มีราก อันนี้ก็ไม่มี บัดนี้ คนกินข้าว กินอาหารเข้าไปเลี้ยงร่างกาย อันนี้มันเป็นสภาพสภาวะ เมื่อเรารู้จักอันนี้ จิตมันจะไม่ไว จิตมันจะไปช้าๆ ไปช้าที่สุด มันจะรู้ขึ้นทันที เออ มันไปไม่ได้ แต่ถึงว่ามัน จะคิด มันก็ไปไม่ได้ ถึงมันจะเป็นอะไร มันก็ไปไม่ได้ เพราะมันไปช้า นี่มันจะมาถึงที่ตรงนี้ ญาณย่อมมี เหมือนกับว่าญาณที่ปรากฏขึ้นมา ก็ญาณย่อมมี ชาติสิ้น แล้ว ภพสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจอื่นไม่มีต่อไป แล้ว มันขาดแล้ว มันขาด เคยพูดให้ฟัง มันขาดออกจาก กันนี่นะ มันไม่ถึงกันแล้ว ชาติสิ้นแล้ว ชาติสิ้นก็หมายถึง ไม่มีแล้ว ชาติภพไม่มีแล้ว ชาติสิ้นแล้ว ภพสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว คือ การปฏิบัติธรรมก็จบกันที่ ตรงนี้ กิจอื่นไม่มีแล้ว ก็ไม่มีกิจธุระที่จะทำ แต่ว่าต้อง ท่า ท่า ก็ท่า อันนี้นี่ ไม่ต้องไปทำอันอื่นไกลแล้วนี่ เรา รู้จักแล้ว นรกสวรรค์ เรารู้จักแล้ว บาปบุญ คุณโทษ เรารู้จักแล้ว ผิดถูก เรารู้จักแล้ว จบกัน ก็อยู่อย่างนั้น กินข้าวได้ เดินดิน ไปไหนมาไหน ทำการทำงาน ซื้อ ขายได้ แต่ไม่มีทุกข์ เท่านั้นเองนี่

คอยระวัง วิปลาส จะเกิดขึ้น ให้มีความรู้สึกตัว อย่าไปติดความสุข หรืออะไรทั้งหมดที่เกิดขึ้น สุขก็ ไม่เอา ทุกข์ก็ไม่เอา กลับคืนมาทวนอารมณ์บ่อยๆ ตั้งแต่ อารมณ์ของรูป-นามขึ้นไป จนถึงอารมณ์ที่สุด เป็นชั้นๆ ให้รู้จักว่าอารมณ์เป็นขั้นเป็นตอน รับรองถ้าเจริญสติอย่างถูกต้อง อย่างนานไม่เกิน ๓ ปี อย่างกลาง ๑ ปี อย่างเร็วที่สุด ๑ วันถึง ๙๐ วัน อานิสงส์ไม่ต้องพูดถึง ไม่มีทุกข์จริงๆ

การเจริญสติในชีวิตประจำวัน การเจริญสตินี้ ต้องทำมากๆ ทำบ่อยๆ นั่งทำก็ได้ นอนทำก็ได้ ขึ้นรถลงเรือทำได้ทั้งนั้น เวลาเรานั่งรถเมล์ เรานั่งรถยนต์ก็ตาม เราเอามือวางไว้บนขา พลิกขึ้นคว่ำลง ก็ได้หรือเราไม่อยากพลิกขึ้นคว่ำลง เราเพียงเอานิ้วมือ สัมผัสนิ้วอย่างนี้ก็ได้ สัมผัสอย่างนี้ ให้มีความตื่นตัว ท้าช้าๆ หรือจะก่ามือ เหยียดมืออย่างนี้ก็ได้ คำว่า “ให้ทำอย่างนั้นตลอดเวลานั้น” (คือ) เราทำ ความรู้สึก ซักผ้าซักเสื้อ ถูบ้านกวาดบ้าน ล้างถ้วยล้าง ชาม เขียนหนังสือหรือซื้อขายก็ได้ เพียงเรามีความ รู้สึกเท่านั้น แต่ความรู้สึกอันนี้แหละ มันจะสะสมเอาไว้ ทีละเล็กทีละน้อยเหมือนกับเราที่มีขันหรือมีโอ่งน้ำ หรือ มีอะไรก็ตามที่มันดี ที่รองรับมันดี ฝนตกลงมา ตก ทีละนิด ทีละนิด เม็ดฝนเม็ดน้อยๆ ตกลงนานๆ แต่ มันเก็บได้ดี น้ำก็เลยเต็มโอ่งเต็มขันขึ้นมา อันนี้ก็เหมือนกัน เราทำความรู้สึก ยกเท้าไป ยกเท้ามา ยกมือไป ยกมือมา เรานอนกำมือเหยียดมือ ทำอยู่อย่างนั้น หลับแล้วก็แล้วไป เมื่อนอนตื่นขึ้นมาเรา ก็ทำไป หลับแล้วก็แล้วไป ท่านสอนอย่างนี้ เรียกว่า ทำ บ่อยๆ อันนี้เรียกว่าเป็นการเจริญสติ